ADULTIFICTION
Last updated
Last updated
Adultification คือศัพท์ที่ใช้นิยามเด็กในปัจจุบันที่ถูกคาดหวังให้ต้องเก่งตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนหนึ่งมากจาก ภาวะเร่งโต เห็นได้จากนโยบายการสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนในเด็กเล็ก ผลร้ายของภาวะนี้อาจส่งผลให้เกิดปัญหาทางจิตและพฤติกรรมในเด็กเล็กได้
การเรียนรู้ตามธรรมชาติของเด็กปฐมวัยเกิดขึ้นง่ายๆ แค่พ่อแม่ให้เวลาคุณภาพกับเขา คุยกับเขา สนทนาโต้ตอบด้วยคำถามปลายเปิดมากกว่าการที่จะคาดคั้นให้ลูกตอบคำถามให้ได้
เข้าใจพัฒนาการ มีวิธีการสอนที่ยืดหยุ่น เปิดกว้างในการสื่อสาร กล้าคิด กล้าตั้งคำถาม คือคุณสมบัติของโรงเรียนที่พ่อแม่ควรตามหา
ในระบบการศึกษาบ้านเรา (หรืออาจทั่วโลก) มีคำถามที่ยังขบไม่แตกและอยู่ในวังวนปัญหาแบบคาบลูกคาบดอกเสมอว่า เรากำลังเร่งให้เด็กวัยเตาะแตะเข้าเรียนเร็วเกินไปหรือเปล่า? อะไรสำคัญกว่ากันระหว่างการหักใจส่งลูกเข้าเตรียมอนุบาลให้เขาพร้อมสำหรับอนาคตเสียแต่เนิ่นๆ หรือ ควรให้เขาอยู่ใกล้ชิดอ้อมอกพ่อแม่และเล่นสนุกตามวัยของเขา?
จากที่เคยเห็นเป็นเรื่องน่าตกใจ ผู้ใหญ่ยุคนี้กำลังค่อยๆ คุ้นชินกับภาวะการแข่งขันทางการศึกษาที่ลูกหลานต้องสอบคัดเลือกเข้าเรียนกันตั้งแต่ชั้นอนุบาล ใช่ค่ะ ขอย้ำว่าอนุบาล! เรามาถึงจุดที่ต้องเริ่มพาลูกๆ ไปเข้าเตรียมอนุบาลที่โฆษณาว่ามีการปูพื้นวิชาให้เด็กๆ เตรียมพร้อมกับห้องเรียนตั้งแต่บางคนยังพูดไม่ชัดกันแล้ว
อย่าเพิ่งฟันธงว่านี่เป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาที่เด็กทุกวันนี้ลอยคออยู่ในความเครียดตั้งแต่วัยเพิ่งชั้นประถม และจำทนอยู่กับระบบที่พยายามเร่งให้เขาโตเป็นผู้ใหญ่เกินตัว จนกว่าจะอ่านบทสัมภาษณ์จาก เอริกา คริสตากิส ผู้เขียนหนังสือขายดีติดชาร์ต ‘The Importance of Being Little: What Young Children Really Need From Grownups’ (ความสำคัญของการเป็นเด็กสมวัย: แท้จริงแล้วเด็กต้องการอะไรจากพ่อแม่) ข้างล่างนี้
เอมิลี แคพลัน นักเขียนประจำ Edutopia (เว็บไซต์เพื่อการศึกษาซึ่งก่อตั้งโดยทุนของนายจอร์จ ลูคัส หรือที่ทุกคนรู้จักกันในฐานะพ่อมดแห่งวงการฮอลลีวูด) ได้ไปสัมภาษณ์ เอริกา คริสตากิส ถึงประเด็นปัญหาของวัฒนธรรมการศึกษาในสหรัฐ ซึ่งเธอแสดงออกถึงความเป็นห่วงไว้ตัวโตๆ ผ่านหน้าหนังสือว่าเด็กกำลังถูกเร่งให้โตเกินวัยและโดนขีดฆ่าการเล่นสนุกออกจากวงจรการเรียนรู้
ในฐานะที่คริสตากิสเคยดำรงตำแหน่งอาจารย์ประจำศูนย์ศึกษาเด็กแห่งมหาวิยาลัยเยล (The Yale Child Study Center) เธอสัมผัสว่าการเปลี่ยนผ่านสู่โลกศตวรรษที่ 21 นี่เองคือตัวแปรหลักที่ผลักให้สถานะของเด็กเจนฯ นี้กลายเป็นหนึ่งในทรัพยากรที่ถูกผู้ใหญ่ตั้งเป้าตักตวงศักยภาพทางเศรษฐกิจและประสิทธิผลความก้าวหน้ามากกว่าจะมองถึงมิติความเป็นคนที่ละเอียดอ่อนมีหัวใจ
“เรากำลังอยู่ในวิกฤติที่ลูกหลานต้องสูญเสียวัยเยาว์ของเขาไป เพราะผู้ใหญ่ไม่รับฟังความต้องการของเขา และที่ร้ายแรงที่สุดคือไม่สนใจว่าสิ่งที่จำเป็นอย่างแท้จริงสำหรับเด็กวัยอย่างพวกเขาคืออะไร ทุกวันนี้เราพูดถึงลูกเหมือนกำลังพูดถึงสินค้าในแง่ที่ต้อง ‘ลงทุนอย่างไร เท่าไหร่จึงจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากลับมา’ มากขึ้นทุกที พ่อแม่หมกมุ่นกับอนาคตของลูกหลานจนพยายามจัดวางชีวิตเขาไว้บนประสบการณ์ที่ต่างจากปกติธรรมชาติและเคร่งครัดเสียยิ่งกว่าที่ผู้ใหญ่เป็น”
คริสตากิสชี้ว่าในยามนี้ ชีวิตปลอดภัยไร้ทุกข์ของเด็กๆ กำลังถูกกลืนกินด้วยความเคร่งเครียดจากการถูกยัดเยียดให้โตเป็นผู้ใหญ่ Adultification คือศัพท์ที่เธอใช้นิยามสภาพการณ์ปัจจุบันที่เด็กถูกคาดหวังให้ต้องเก่งตั้งแต่ยังเล็กและกินอยู่ในตารางเรียนที่เร่งรัดให้คิดอ่านอย่างเป็นผู้ใหญ่เกินตัว
ส่วนหนึ่งของ ‘ภาวะเร่งโต’ เห็นได้จากนโยบายการสอบคัดเลือกเด็กวัยเตาะแตะเข้าเตรียมอนุบาลที่โรงเรียนทั่วโลกพากันตบเท้าใช้ตามกันเป็นว่าเล่น ผลคือปัญหาทางจิตและพฤติกรรมเกิดขึ้นเยอะมากกับเด็กเล็ก
อีกทั้งความย้อนแย้งของพ่อแม่หรือแม้แต่ครูทั้งหลายเองก็ตามที แม้ตระหนักดีว่าสมองของเด็กยังพัฒนาไม่ได้เต็มที่และไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รับมือกับตารางกิจกรรมที่หนักอึ้งเร่งรีบเหมือนผู้ใหญ่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองว่าการปล่อยให้ลูกรักขุดดินเล่นเป็นชั่วโมงๆ คงไม่ทำให้ได้อะไรขึ้นมา อย่างน้อยน่าจะเอาเวลามาหัดแก้โจทย์เลขดีกว่า
อย่างไรก็ตาม อย่าว่าแต่จะหาเวลาว่างมาเล่นสนุกได้เลย ลองสังเกตดูจะเห็นว่าเด็กเจนฯ นี้คิดครีเอทการละเล่นขึ้นมาด้วยตัวเองเหมือนสมัยก่อนไม่เป็นเลย
“ถ้าเกิดจู่ๆ เราชวนเด็กที่ไม่เคยมีเวลาว่างจากตารางการเรียนที่รัดตัวหรือเคยเล่นสนุกกับวัสดุเครื่องมืออย่างเสรีมาก่อน ให้มาเล่นสร้างป้อมปราการจากกระดาษลังกันเถอะ จะเห็นเลยว่าพวกเขาพากันหงุดหงิดและงงที่เราให้ทำอะไรแบบนั้น”
มาวันนี้สังคมดูเหมือนจะลดทอนคุณค่าของการเล่นให้เหลือน้อยลงทุกที กลายเป็นว่าเด็กเล่นนอกบ้านและได้ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่กันน้อยมาก การเล่นที่วิวัฒน์ด้วยเทคโนโลยีซึ่งก่อปัญหาก็มากขึ้น เด็กต่างวัยไม่มีโอกาสรวมกลุ่มปฏิสัมพันธ์กับเด็กเล็กไม่ได้เรียนรู้ทักษะด้านต่างๆ จากเด็กโต และเด็กโตไม่มีประสบการณ์ที่ได้หัดเรียนรู้ที่จะอ่อนโยนและเล่นกับน้องๆ อย่างเอื้อเฟื้อยุติธรรม
“ผู้ใหญ่ที่เคยเห็นสีหน้าฉายแววสงสัยใคร่รู้ของเด็กที่จ้องเขม็งขณะผีเสื้อร่อนลงบนดอกไม้ จะเข้าใจว่าการเรียนรู้เป็นอะไรที่มากกว่าห้องเรียน”
ในหนังสือของเธอ คริสตากิสแสดงจุดยืนชัดเจนว่าการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องอยู่ใน preschool เสมอไป หรือพูดง่ายๆ ก็คือน้องๆ หนูๆ ไม่จำเป็นต้องเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาลเลยก็ได้
เธอให้อรรถาธิบายคำกล่าวอันทรงพลังข้างต้นว่า ที่จริงแล้วเด็กสามารถเรียนรู้ได้ในทุกบริบทแวดล้อม ภายใต้เงื่อนไขว่าหากได้รับความรักความเอาใจใส่จากผู้ใหญ่อย่างอบอุ่นเพียงพอควบคู่ไป พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องรีบเข้าเรียนชั้นเตรียมอนุบาลที่มีเสียงออดเสียงนกหวีดคอยบอกเวลาเรียนเลย
ตามธรรมชาติของการเรียนรู้ในเด็กปฐมวัยเกิดจากการสื่อสารแบบ the serve-and-return หรือการที่ผู้ใหญ่สนทนา ‘โต้ตอบ’ กับเขา คริสตากิสหยิบยกงานศึกษามาอธิบายเสริมว่าเพียงแค่พ่อแม่และครูรู้วิธีที่จะปฏิสัมพันธ์กับเด็กๆ ด้วยการสนทนาโต้ตอบเป็นกิจวัตรทุกวัน สถานะครอบครัวจะยากดีมีจนอย่างไร เด็กก็สามารถที่จะมีพัฒนาการการเรียนรู้ได้ไม่ต่างกัน
นอกจากเด็กจำเป็นต้องมีเวลาคุณภาพกับพ่อแม่ การสนทนาปลายเปิดมีความสำคัญมาก ผู้ใหญ่ควรหมั่นตั้งคำถามปลายเปิดใส่เขาบ่อยๆ เช่น “เล่าถึงสิ่งที่หนูกำลังวาดอยู่หน่อยสิจ๊ะ” แทนที่จะถามเด็กแบบตัดจบตรงๆ เช่น “แอปเปิ้ลสีอะไร” หรือ “หนูกำลังวาดอะไรอยู่” ให้เขาได้ฟุ้งฝอยเรื่องเพ้อฝันให้ผู้ใหญ่ฟัง หรือได้ฟังผู้ใหญ่อ่านหนังสือและนิทานดีๆ แล้วถามคำถามที่สงสัย ใช้ภาษาสื่อสารที่มีเมตตากรุณา คุยเล่นอย่างสนุกสนาน การตั้งคำถามแบบที่เด็กสามารถตอบอะไรก็ได้จะช่วยให้ความคิดเขาไปได้ไกลขึ้นและเรียนรู้ได้ลึกซึ้งมากขึ้น
ในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ แคพลันไม่พลาดที่จะถามแทนใจพ่อแม่หลายคนที่รู้สึกโอเคกับการเตรียมเด็กๆ ให้คุ้นกับชั้นเรียนไว้แต่เนิ่นๆ แต่อาจยังคิดไม่ตกกับตัวเลือกในมือว่าควรฝากฝังลูกและอนาคตของพวกเขาไว้ที่ไหนจึงจะดีที่สุด
คริสตากิสแนะว่าหากจะหาโรงเรียนชั้นปฐมวัยให้ลูก สิ่งที่พ่อแม่ต้องสืบดูให้ดีคือ
1. โรงเรียนแห่งนั้นให้ความสำคัญด้านความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนมากน้อยแค่ไหน โรงเรียนคุณภาพหมายถึงโรงเรียนที่มีครูที่ดี คือต้องรู้จักพัฒนาการทั่วไปของเด็ก (เช่น เด็กอายุสามขวบทำอะไรได้บ้าง-ไม่ได้บ้าง) ไปจนถึงพัฒนาการเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคนที่ตนดูแล (เด็กคนนี้ดูหนังสือภาพเข้าใจ ชอบฟังนิทานแต่ยังสื่อสารศัพท์ไม่ได้)
เกณฑ์วัดคุณภาพใดๆ ที่ใช้กันทุกวันนี้ เช่น ขนาดและบรรยากาศของห้องเรียนหรือหลักสูตรไม่อาจเทียบเท่าการมีครูที่สามารถปรับตัวเข้าหาเด็กในความดูแลได้ มีใจปกป้องสิทธิและประโยชน์ของเด็กโดยไม่ยอมให้กฎระเบียบจากโรงเรียนหรือรัฐเข้ามามีบทบาทอยู่เหนือการเรียนรู้
2. โรงเรียนที่ดีควรมีแผนการสอนที่ยืดหยุ่นเข้ากับเด็ก ไม่ถึงขนาดต้อง free-for-all คือเอาเด็กเป็นที่ตั้งไปเสียหมด ต้องมีการวางแผนกิจกรรม สิ่งที่ทำเป็นกิจวัตรในชั้นเรียน หัวข้อการเรียนรู้ที่ให้ทำความเข้าใจและใช้ได้จริง มีการปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมให้สดใหม่ตลอดเวลาเพื่อกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของหนูๆ ด้วย ทั้งหมดนี้ครูจึงต้องเป็นผู้คอยสังเกตและถอดบทเรียนแก้ไขอย่างค่อยเป็นค่อยไปว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดต่อเด็กด้วย
3. โรงเรียนต้องมีวัฒนธรรมที่เปิดกว้างในการสื่อสารกับเด็ก ให้เขากล้าตั้งคำถาม กล้าเล่าความคิดฝันหรือแบ่งปันจินตนาการร่วมกันอย่างเสรี การเรียนรู้ในชั้นจึงอยู่บนพื้นฐานของการแบ่งปันและพึ่งพากันและกัน (collegial) โดยกลไกเหล่านี้จะต้องเข้ามาตอบสนองประสบการณ์ที่แตกต่างกันของเด็กๆ ซึ่งมาจากร้อยพ่อพันแม่ บางคนอาจไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อคืน หรือบางคนคุณแม่เพิ่งคลอดน้องหรือปู่กับย่ามาเยี่ยมที่บ้าน การสื่อสารอย่างเอาใจใส่ เปิดกว้างและเข้าใจจะนำทางให้พวกเขาเรียนรู้และเติบโตทางอารมณ์และสังคมได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
ทั้งหมดนี้เป็นทัศนะส่วนหนึ่งของงานเขียนที่คริสตากิสพยายามขีดเส้นเน้นความสำคัญของการเป็นเด็กสมวัย หรือ ‘being little’ ตามแบบฉบับของเธอ ไม่ว่าพ่อแม่จะสะดวกใจที่จะจัดวางชีวิตวัยเยาว์ของลูกไว้แบบไหน ขอให้ความสำคัญกับความไร้เดียงสาตามธรรมชาติของเด็ก ซึ่งร่างกายและอารมณ์ช่วงปฐมวัยจำเป็นต้องได้ใช้งานผ่านการวิ่งเล่นหัวเราะกับเพื่อน เช่นเดียวกับสมองที่ต้องใช้เวลาที่จะเติบโตและซึมซับสภาพแวดล้อมอย่างค่อยเป็นค่อยไป บทความนี้ขอทิ้งท้ายด้วยคำพูดหนึ่งของคริสตากิสที่ว่า
“เราต้องเข้าใจว่าเด็กก็คือเด็ก เขาไม่ใช่ผู้ใหญ่ในร่างย่อส่วน”
Source: The Potential.