ตอนที่ 11: ทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง(Theory of Everything)ของลัทธิข้อมูลนิยมกับวิถีแห่งตัวตน
ลัทธิข้อมูลนิยม (dataism) เกิดขึ้นจากการรวมตัวครั้งใหญ่ของลูกคลื่นสูงสุดของวิทยาศาสตร์สองสาขาคือวิทยาศาสตร์ชีวภาพกับวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์โดยสถาปนากระบวนทัศน์ (paradigm)ใหม่ขึ้นมาอันเป็น "ทฤษฎีเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถควบคุมหลักวิชาทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดได้" (หน้า472)
A single overarching theory that unifies all the scientific disciplines
โดยทฤษฎีนี้มีบทเสนอว่าศาสตร์ทั้งปวงในโลกนี้ตั้งแต่ดนตรีวิทยา เศรษฐศาสตร์ไปจนถึงชีววิทยาล้วนอธิบายได้จากมุมมองแบบข้อมูลนิยมเหมือนกัน กล่าวคือเพลงซิมโฟนีหมายเลข 5 ของบีโธเฟน, ฟองสบู่ตลาดหุ้นและไวรัสไข้หวัดใหญ่ล้วนเป็นแค่ "รูปแบบกระแสข้อมูลสามแบบที่สามารถวิเคราะห์ได้โดยใช้หลักการพื้นฐานและเครื่องมือแบบเดียวกัน" (หน้า472) แนวคิดแบบข้อมูลนิยมนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั้งปวงใช้ภาษาเดียวกันจึงสามารถข้ามขอบเขตระหว่างสาขาวิชาได้อย่างง่ายดาย ในกระบวนการนี้ลัทธิข้อมูลนิยมได้พลิกพีระมิดการเรียนรู้แบบกลับหัวกลับหางจากแต่ก่อน
ในอดีตมนุษย์เคยเชื่อว่าคนเราต้องกลั่นข้อมูล (data) ให้ออกมาเป็นสารสนเทศ(information) จากสารสนเทศเป็นความรู้ (knowledge) และจากความรู้เป็นภูมิปัญญาหรือปัญญาญาณ (wisdom) อย่างไรก็ดีนักข้อมูลนิยมเชื่อว่ามนุษย์ยุคปัจจุบันไม่สามารถรับมือกับกระแสข้อมูลมหาศาลได้อีกต่อไปแล้ว ถ้าทำตามแนวทางการเรียนรู้แบบเดิม พวกเขาย่อมไม่สามารถกลั่นข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ มิพักพูดถึงความรู้และปัญญาญาณ ดังนั้นงานประมวลผลข้อมูลจึงสมควรมอบหมายให้แก่อัลกอริทึมอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีขีดความสามารถล้ำกว่าสมองมนุษย์มาก ตรงนี้เห็นได้ชัดเจนเลยว่า ในยุคข้อมูลนิยม คนเราควรทุ่มเทฝึกฝนพัฒนาตนเองผ่านการฝึกทักษะการอ่าน, ทักษะการคิดและทักษะการเขียนแบบไตรภาคี (trinity หรือ三位一体) เป็นหลักโดยผ่านการอ่านหนังสือกระดาษ, การครุ่นคิดไตร่ตรองผ่านการอ่านหนังสือกระดาษรวมทั้งการเขียนหนังสือออกมาเป็นหนังสือเล่ม แล้วปล่อยงานประมวลผลข้อมูลและสารสนเทศให้อัลกอริทึมอีเล็กทรอนิกส์ช่วยทำแทนเราเพื่อประหยัดพลังงานและเวลาของเราในการค้นข้อมูลกลั่นข้อมูล
แนวทางแบบนี้ในวิชาโยคะโบราณเรียกว่าญาณโยคะ (Yoga of knowledge) หรือหนทางในการพัฒนาจิต และยกระดับจิตผ่านการศึกษาหาความรู้แบบสรรพวิชาเพื่อเพิ่มพูนความสามารถในการรับรู้เรียนรู้สรรพสิ่ง รวมทั้งความสามารถในการตัดสินใจไม่ให้ผิดพลาดในเรื่องต่างๆในทุกย่างก้าวของชีวิต
ผมเชื่อมั่นว่าแนวทางแบบ"ญาณโยคะ" เช่นนี้เป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับคนยุคนี้ในการปกป้องตัวตนของตนเองไม่ให้ตกเป็นทาสของอัลกอริทึมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีแนวโน้มจะตัดสินใจแทนเราในทุกเรื่อง ยิ่งถ้าผนวกเข้ากับการฝึก"กุณฑาลินีโยคะ" ด้วยยิ่งวิเศษ คนเราต้องมีวิถีแห่งตัวตนเพื่อป้องกันมิให้ตนเองตกเป็นทาสของระบบข้อมูลนิยมหรือกลายเป็น"คนไร้ประโยชน์" ในสายตาของเครือข่ายอัลกอริทึมอันมหึมาเพราะนั่นคือจุดจบของปัจเจกบุคคลผู้นั้นที่จะกลายเป็นคนไร้ค่าสำหรับยุคข้อมูลนิยมอย่างช่วยไม่ได้
Last updated