ตอนที่ 2: คำสาปเรื่องดีอุส
อ่านอนาคตของดีอุส จากอดีตของเซเปียนส์
ประโยชน์สูงสุดที่เราได้จากการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ มิใช่เอาไว้ใช้ทำนายอนาคต แต่เอาไว้เพื่อปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระก็จริง แต่เราสามารถทำนายอนาคตของดีอุสได้ จากการศึกษาอดีตของเซเปียนส์
ถ้าบรรพบุรุษของดีอุสแยกตัวออกจากบรรพบุรุษของเซเปียนส์ผ่านสุพันธุศาสตร์ (eugenics) ที่อัปเกรดมนุษย์จนมีความสามารถดุจเทพเจ้าในตำนานเทพกรีกหรือตำนานเทพฮินดู ในอนาคตอีกไม่กี่ร้อยปีข้างหน้า ดีอุสจะรู้สึกต่อเซเปียนส์และปฎิบัติต่อเซเปียนส์เช่นไร?
เราสามารถฟันธงได้ล่วงหน้าเลยว่า ดีอุสคงมองเซเปียนส์ รู้สึกต่อเซเปียนส์และปฏิบัติต่อเซเปียนส์ เหมือนอย่างที่เซเปียนส์มองลิงชิมแปนซี รู้สึกต่อชิมแปนซี และปฏิบัติต่อชิมแปนซีนั่นเอง เพราะต้องไม่ลืมว่า แค่เมื่อ 6 ล้านปีก่อน บรรพบุรุษของเซเปียนส์เพิ่งแยกขาดจากบรรพบุรุษของชิมแปนซีและวานรอื่นๆมาหมาดๆเท่านั้นเอง
ในอนาคตอันไกลสักหน่อย ในยุคที่ดีอุสครองโลก เหมือนอย่างยุคที่เซเปียนส์ครองโลกหรือยุคแอนโทรโปซีน (Anthropocene) อย่างยุคปัจจุบัน ถ้าดีอุสไม่ขจัดเซเปียนส์จนแทบหมดไปจากโลกนี้ เหมือนอย่างที่เซเปียนส์เคยกำจัด โฮโม อีเล็กตัส หรือโฮโม นีแอนเดอร์ธัลล์ไปแล้วเพื่อครองโลก ดีอุสก็อาจเอาเซเปียนส์มาเป็นสัตว์เลี้ยงของตนเพื่อใช้งานบางอย่างก็เป็นได้ เพราะที่ผ่านมาเซเปียนส์ก็เคยทำแบบนี้กับสัตว์ใหญ่อื่นๆมาแล้วเช่นกัน
ในยุคเซเปียนส์ครองโลกอย่างยุคปัจจุบัน เรามีสุนัขบ้านมากกว่า 400 ล้านตัว แต่มีหมาป่าแค่ 200,000 ตัวกระจายอยู่ทั่วโลกเท่านั้น เรามีสิงโตแค่ 40,000 ตัว เมื่อเทียบกับแมวตามบ้าน 600 ล้านตัว เรามีเพนกวิน 50 ล้านตัว แต่มีไก่ 20,000 ล้านตัว เรามีควายแอฟริกัน 900,000 ตัว แต่มีวัวเลี้ยง 1,500 ล้านตัว ความเห็นอกเห็นใจอย่างลึกซึ้งกับความโหดร้ายอย่างสุดขั้วคือ อารมณ์ความรู้สึกของเซเปียนส์ที่เด่นชัดมาก อารมณ์ความรู้สึกของดีอุสจึงไม่น่าต่างไปจากเซเปียนส์เท่าไรนัก โดยเฉพาะด้านที่โหดร้ายอย่างเลือดเย็นของเซเปียนส์ และด้านที่ฉลาดเฉลียวเพื่อบำเรอกิเลสของตนเองของเซเปียนส์
คนเราไม่ได้มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยของตนเท่านั้น แต่คนเรายังพ่วงเอาประวัติศาสตร์ติดตัวไปกับตนเองด้วยเกอเธ่ กวีชาวเยอรมันเคยกล่าวว่า "ผู้ที่ไม่สามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับประวัติศาสตร์ในรอบสามพันปีได้ ผู้นั้นจะต้องหาเช้ากินค่ำตลอดไป"
จะเป็นเรื่องน่าเศร้าเพียงไหนหากคนเราเป็นได้แค่ "คนหาเช้ากินค่ำตลอดไป" แม้ว่าจะได้เงินเดือนที่สูงมากแค่ไหนก็ตามเพียงเพราะผู้นั้นไม่รู้จักรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ของตัวเองและเพียงเพราะผู้นั้นไม่สามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับประวัติศาสตร์ในรอบสามพันปีหรือนานกว่านั้นได้ ในทัศนะของผม การบูรณาการตัวเองเข้ากับประวัติศาสตร์ในรอบหลายแสนปีของเซเปียนส์ จึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้คนเรากลายเป็นมนุษย์ที่แท้ได้จริงและสามารถเป็นอิสระจาก "คำสาปเรื่องดีอุส"ในอนาคตได้ นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้คนเราเป็นอะไรที่มากกว่า"ลิงเปลือย" ที่อุตริริใส่เสื้อผ้าเล่นโทรศัพท์มือถือ เพราะไร้ความคิด คิดไม่เป็น ไม่รู้จักตนเองยังไม่ตื่นรู้เพราะหาคุณค่าความหมายที่แท้จริงของชีวิตตนเองไม่เจอ
คนเราอาจมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้แค่ไม่กี่สิบปีก็จริง แต่ถ้าคนผู้นั้นสามารถเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ของเซเปียนส์นับแสนปีเข้ากับประวัติศาสตร์แห่งจิตใจของผู้นั้นจนเป็นหนึ่งเดียวได้ นั่นก็หมายความว่างคนผู้นั้นได้มีอายุเป็นแสนๆปีมาแล้ว ยิ่งถ้าคนผู้นั้นสามารถฝึกฝนตน บำเพ็ญเพียรทางจิตตลอดจนสามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับประวัติศาสตร์ของจักรวาลนับล้านๆปีจนกระทั่งสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับประวัติศาสตร์ของธรรมจิต(Spirit) ที่เป็นมหาสุญญตาได้นั่นก็หมายความว่า คนผู้นั้นได้มีอายุยั่งยืนเทียมเท่าจักรวาลหรือฟ้าดิน
เขาคือมนุษย์ที่กลายเป็นฟ้าหรือพระเจ้า เขาจะเป็นทั้งมนุษย์ที่สมบูรณ์และพระเจ้าในร่างคนโดยสมบูรณ์ นี่แหละคือโลกของพระโพธิสัตว์และเป็นวิถีของพระโพธิสัตว์ มิใช่โลกในคำสาปอย่างโลกของดีอุส
ยูวัล โนอาห์ แฮรารี ผู้เขียนหนังสือ Sapiens : A Brief History of Humankind (2014) อันโด่งดังกล่าวว่า เซเปียนส์เป็นเรื่องราวของสัตว์ที่กลายเป็น"พระเจ้า" ผมจะลองเล่าเรื่องราวของเซเปียนส์จากมุมมองของจิตวิวัฒน์เพื่อเสริมต่อสิ่งที่ขาดหายไปในหนังสือเล่มนี้ของยูวัลที่นำเสนอโดยใช้มุมมองของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์เชิงบูรณาการเป็นหลัก (แต่ไม่ใช่แบบลัทธิมาร์กซ์ที่หมกมุ่นแต่เรื่องการต่อสู้ทางชนชั้น) เอกภพของเราเกิดขึ้นเมื่อ 13,500 ล้านปีที่แล้วจากปรากฏการณ์บิ๊กแบง (เรื่องราวของฟิสิกส์) สามแสนปีหลังเหตุการณ์บิ๊กแบง สสารและพลังงานเริ่มรวมตัวกันเป็นโครงสร้างเชิงซ้อนที่เรียกว่าอะตอม ซึ่งรวมตัวกันเป็นโมเลกุล (เรื่องราวของเคมี) 3,800 ล้านปีที่แล้วบนโลกใบนี้ โมเลกุลได้รวมตัวกันก่อรูปเป็นโครงสร้างที่พิเศษและซับซ้อนเรียกว่า สิ่งมีชีวิต (เรื่องราวของชีววิทยา) ประมาณ 70,000 ปีมาแล้วสิ่งมีชีวิตในสปีชีส์ โฮโมเซเปียนส์ เริ่มก่อรูปโครงสร้างสังคมที่ประณีตมากขึ้นไปอีกเรียกว่า "วัฒนธรรม" ต่อมาพัฒนาการทางวัฒนธรรมของเหล่ามนุษย์ทั้งหลายมีชื่อเรียกว่า "ประวัติศาสตร์"
มนุษย์เราดำรงอยู่บนโลกนี้เป็นเวลานานก่อนที่จะเกิดประวัติศาสตร์ขึ้น คือสามารถย้อนกลับไปได้ถึง 2.5 ล้านปีเลยทีเดียว เพียงแต่ตอนนั้นมนุษย์ไม่ได้มีลักษณะอะไรที่โดดเด่นจนแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่มีอยู่มากมายในสภาพแวดล้อมเดียวกันมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เป็นเพียงสัตว์ที่ไม่ได้สลักสำคัญและไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากไปกว่าลิงกอริลลาเลย
นักชีววิทยาแบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็นสปีชีส์โดยที่สปีชีส์ต่างๆจะรวมกันอยู่ภายใต้"สกุล" และกลุ่มต่างๆของสกุลจะจัดอยู่ใน"วงศ์" ถ้ากล่าวตามนี้ เซเปียนส์ก็เป็นแค่สมาชิกของวงศ์หนึ่งในอาณาจักรสัตว์เช่นกัน หาใช่"สัตว์ประเสริฐ" ตั้งแต่แรกกำเนิดไม่ ตัวตนที่แท้จริงทางชีววิทยาของเซเปียนส์หรือของคนเราคือสัตว์ที่เป็นสมาชิกของวงศ์ที่เรียกว่าวานรยักษ์ (great apes) ญาติใกล้ชิดที่สุดของเราที่ยังมีชีวิตอยู่ได้แก่ ชิมแปนซี กอริลลา และอุรังอุตัง โดยที่ชิมแปนซีมีความใกล้ชิดกับเรามากที่สุด แค่ราว ๆ 6 ล้านปีก่อนเท่านั้นเองที่บรรพบุรุษของพวกเราแยกขาดจากบรรพบุรุษของชิมแปนซีและวานรอื่น ๆ เท่านั้นเอง
Last updated