ตอนที่ 7: ไม่มีทั้งเจตจำนงเสรีและวิญญาณในโลกของข้อมูลนิยม (dataism)
ตามความเข้าใจของวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดที่เรามีอยู่ตอนนี้ คำว่าเจตจำนงเสรีและคำว่าวิญญาณ (soul) ล้วนเป็นวาทกรรมที่กลวงโบ๋ คือไม่มีความหมายที่มองเห็นได้เลย (หน้า 371) เสรีภาพมีอยู่ได้แต่เพียงเรื่องเล่าในจินตนาการแบบมนุษย์นิยมซึ่งมนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมาเท่านั้น
วิญญาณก็เช่นกันมันดำรงอยู่แค่ในเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระเจ้าซึ่งมนุษย์แต่งขึ้นมาเพื่อศาสนาในยุคปฏิวัติเกษตรกรรมเท่านั้นลัทธิข้อมูลนิยมซึ่งเป็นตัวแทนศาสนาข้อมูล (The Data Religion) หรือศาสนาเทคโนโลยีซึ่งเป็นศาสนาล่าสุดในยุคนี้ ได้พิชิตลัทธิเอกเทวนิยม ด้วยการหักล้างว่า วิญญาณนิรันดร์ไม่มีจริง
ต่อมาลัทธิข้อมูลนิยมยังพิชิตลัทธิมนุษย์นิยมด้วยการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพว่า "เจตจำนงเสรี"ที่เป็นใจกลางปรัชญามนุษย์นิยมก็ไม่มีจริงเช่นกัน สิ่งที่พวกเสรีนิยมหลงเชื่ออย่างผิดๆว่าเป็นเจตจำนงเสรีหรือตัวตนของตนนั้น ที่แท้ก็มีแต่ยีน ฮอร์โมน และเซลล์ประสาทที่เชื่อฟังกฏทางฟิสิกส์และเคมีเท่านั้น
สิ่งที่ปัจเจกเคยคิดว่าเป็นการตัดสินใจอย่างอิสระ ที่แท้มันเกิดขึ้นจากการสุ่ม โดยประสานรวมกลับกระบวนการที่กำหนดล่วงหน้าได้ และได้ผลลัพธ์ที่เป็รไปได้เท่านั้น ... กระบวนการเหล่านี้อาจกำหนดได้หรือสุ่มได้ แต่มันไม่เสรี ส่วนสิ่งที่มนุษย์เคยหลงเชื่อว่าเป็นวิญญาณ (soul) อันเป็นนิรันดร์ (หรืออาตมัน)นั้น ที่แท้ก็ไร้แก่นสารภายในที่เรียกว่าตัวตน (เป็นอนัตตา) น่าแปลกมากที่ข้อสรุปนี้ของพวกข้อมูลนิยมช่างคล้ายบทเสนอของพระพุทธเจ้าเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อนในเรื่องอนัตตามาก
เพราะพวกข้อมูลนิยมมองว่า ในความเป็นจริงแล้ว มันมีแค่กระแสของจิตสำนึก (a stream of consciousness) กับความปรารถนาโผล่ขึ้นมาและผลุบหายไปภายในกระแสนั้นเท่านั้น หามีตัวตนถาวรที่เป็นเจ้าของความปรารถนานั้นไม่ พวกข้อมูลนิยมจึงเสนอว่า ถ้าสิ่งมีชีวิตไม่มีเจตจำนงเสรีและวิญญาณแล้วไซร้ ก็หมายความว่า เราสามารถเข้าไปจัดการหรือแม้แต่ควบคุมความอยากความปรารถนาได้โดยใช้ ยา ใช้พันธุวิศวกรรม และการกระตุ้นสมองโดยตรงด้วยเทคโนโลยี (หน้า 374)
ผมขอย้ำว่าตรงนี้คือทางแยกที่แทบเป็นคู่ขนานกันระหว่าง พวกสายวัตถุกับพวกสายจิตที่แม้จะยอมรับความยิ่งใหญ่ของลัทธิข้อมูลนิยมเหมือนกัน แต่ใช้วิธีการต่างกันมากในการอยู่เหนือใจหรือพิชิตใจตนเอง พวกสายวัตถุในลัทธิข้อมูลนิยม เชื่อว่าเซเปียนส์ก็สามารถถูกจัดการได้เช่นเดียวกับหนูในห้องทดลอง และมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างหรือทำลายความรู้สึกต่างๆอันซับซ้อน ไม่ว่าความรัก ความโกรธ ความกลัว ความหดหู่โดยการกระตุ้นจุดที่ถูกต้องในสมองของมนุษย์ อาการซึมเศร้าสามารถหายไปได้ด้วยการฝังขั้วไฟฟ้าเข้าไปในสมองของผู้ป่วย ทันทีที่ทหารสวมหมวก "กระตุ้นสมองด้วยไฟฟ้ากระแสตรงผ่านกระโหลกศีรษะ" ก็สามารถอยู่ในสมาธิขั้นสูงได้อย่างต่อเนื่องยาวนานเหมือนนักบวชที่บำเพ็ญสมาธิภาวนามาหลายสิบปีนี่คือทางเลือกของสายวัตถุของพวกข้อมูลนิยมซึ่งเป็นสายกระแสหลักในตอนนี้
ขณะที่ทางเลือกของสายจิตในยุคข้อมูลนิยมเป็นใหญ่ยังคงหันไปพึ่งวิธีการฝึกจิตแบบโบราณในยุคก่อนทันสมัย โดยเอามาผนวกและบูรณาการกับเทคโนโลยีในปัจจุบัน โดยยังคงเป็นนายของตัวเองเอาไว้ได้ ไม่ถูกลัทธิข้อมูลนิยมและลัทธิวัตถุนิยมครอบงำความคิดอย่างสิ้นเชิง
Last updated