ตอนที่ 4: พลังของจิตวิสัยร่วม

โดย ดร. สุวินัย ภรณวลัย

เซเปียนส์ให้ความหมายแก่โลกผ่านเรื่องเล่าที่เป็นเรื่องแต่ง แต่เซเปียนส์ ยินยอมแลกความหมายกับอำนาจเพื่อเสพสุขในยุคทำให้ทันสมัย (modernization) เนื่องจากมีแต่เซเปียนส์เท่านั้นที่สามารถใช้ภาษาเพื่อพิจารณาใคร่ครวญประสบการณ์ของพวกเขาในอดีตและการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

การที่เซเปียนส์ครองโลกได้เพราะมีแต่พวกเราเท่านั้นที่สามารถร่วมมือกันอย่างยืดหยุ่นได้ในหมู่คนจำนวนมาก โดยตั้งอยู่บนความเชื่อของเราในเรื่องระเบียบแบบแผนตามจินตนาการ ทำให้สามารถสร้างระบบราชการที่เป็นการสร้างลำดับชั้นของมนุษย์ในการบริหาร การจัดการและการสั่งการ จนเกิดเครือข่ายความร่วมมือในหมู่คนหมู่มากที่มั่นคงขึ้นมาได้ ... ทั้งนี้เพราะพวกเขาเชื่อในเรื่องเล่าเดียวกัน จึงทำตามกฏเดียวกันได้ ทั้งๆที่ชุดของกฏเหล่านี้ดำรงอยู่แค่ในจินตนาการของเราเท่านั้น แต่เรากลับเชื่อว่ามันมีอยู่จริงและไม่อาจเอาชนะได้ดุจเดียวกับแรงโน้มถ่วง (หน้า 200)

"ระเบียบแบบแผนตามจินตนาการ" เป็นความจริงแบบจิตวิสัยร่วม (intersubjective realities) ซึ่งเป็นความจริงที่ขึ้นอยู่กับการสื่อสารในคนหมู่มาก ซึ่งต่างไปจาก ความจริงแบบวัตถุวิสัย (objective realities) ที่ดำรงอยู่อย่างอิสระโดยไม่ขึ้นอยู่กับความเชื่อหรือความรู้สึกของเรา และก็ไม่เหมือน ความจริงแบบจิตวิสัย (subjective realities) ที่ขึ้นอยู่กับความเชื่อและความรู้สึกเฉพาะตน สิ่งที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเงิน หรือพระเจ้า(ศาสนา) หรือประเทศชาติ รวมทั้งคุณค่าแบบมนุษยนิยมของเรา ล้วนเป็นผลผลิตของความจริงแบบจิตวิสัยร่วมทั้งสิ้น ... มิหนำซ้ำทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแค่เรื่องที่แต่งขึ้นมา เพื่อทำให้ชีวิตเรามีความหมาย (หน้า 203)

ความจริงก็คือ ชีวิตของคนส่วนใหญ่จะมีความหมายก็แต่เพียงภายในเครือข่ายของ "เรื่องเล่า"ที่พวกเขาบอกเล่าให้คนอื่นฟังเท่านั้น ความหมายเกิดขึ้นเมื่อคนจำนวนมากถักทอเครือข่ายร่วมของเรื่องเล่าเข้าด้วยกัน ผู้คนต่างตอกย้ำความเชื่อของกันและกัน จนเกิดเป็นวงจรหมุนรอบไปได้ตลอดกาล โดยที่แต่ละรอบของการยืนยันความเชื่อระหว่างกันก็จะกระชับสายใยของความหมายให้หนาแน่นมากขึ้นไปอีก จนผู้นั้นแทบไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องเชื่อตามสิ่งที่คนอื่น ๆ ทุกคนเชื่อ

การเห็นอนิจจังของผู้มีปัญญารู้เท่าทันจิต คือการเฝ้าดูการปั่นสายใยแห่งความหมายและความเชื่อผ่านเรื่องเล่าตั้งแต่ในอดีต แลเห็นการคลี่คลายตัวออกของสายใยเหล่านี้ด้วยจิตตั้งมั่น ปล่อยวาง รู้เท่าทัน เพราะตระหนักได้ดีว่า สิ่งที่ดูราวกับสำคัญที่สุดในชีวิตของผู้คนในยุคหนึ่ง อาจเป็นความเหลวไหลไร้สาระอย่างที่สุดสำหรับผู้คนในอนาคตข้างหน้า เพราะไม่ว่าผู้คนจะถักทอสายใยแห่งความหมาย เชื่อเรื่องเล่าที่ถักทอขึ้นอย่างหมดหัวใจแค่ไหน สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว สายใยเหล่านั้นย่อมคลี่คลายออกจนได้อยู่ดี

เมื่อ 70,000 ปีก่อน เซเปียนส์ได้สร้างภาษาขึ้นมาเพื่อสร้างความจริงแบบจิตวิสัยร่วมที่ทรงพลังมากๆ จนทำให้เซเปียนส์ครองโลกใบนี้ได้ โลกกำลังก้าวไปสู่ยุคของดีอุส เมื่อเซเปียนส์หลงเชื่อเรื่องเล่าเกี่ยวกับดีอุส (มนุษย์เทพ) ที่ตนเองสร้างขึ้น จนมุ่งมั่นที่จะอัปเกรดตนเอง จนกลายพันธุ์จากเซเปียนส์ไปเป็นดีอุสในอนาคตข้างหน้า เมื่อนั้นความจริงแบบจิตวิสัยร่วม จะกลืนกินความจริงแบบจิตวิสัยและความจริงแบบชีววิทยาเข้าไปหลอมรวมกับ "ประวัติศาสตร์แห่งอนาคต"

ด้วยเหตุนี้ เรื่องเล่าเกี่ยวกับดีอุสจึงกลายเป็นอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในโลกปัจจุบันเพราะมีเทคโนโลยีชีวภาพกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หนุนหลัง คนที่จะอ่านอนาคตได้ เข้าใจอนาคตได้ คือคนที่เข้าใจความสำคัญของพลังของจิตวิสัยร่วม และสามารถถอดรหัสเรื่องแต่งเกี่ยวกับดีอุสที่ให้ความหมายแก่ชนชั้นนำของโลกในปัจจุบันเท่านั้น

การมองการณ์ไกลของผู้นำจึงต้องมาจากดวงจิตที่เปิดกว้าง และปราศจากอคติใดๆในการเฝ้ามองความเป็นไปของสรรพสิ่ง สายตาของผู้นำต้องไม่ขุ่นมัวเพราะถูกบดบังด้วยความมืดบอดของใจ และวิสัยทัศน์ของผู้นำต้องไม่ถูกจำกัดเฉพาะสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า รวมทั้งไม่ถูกจำกัดเฉพาะสิ่งที่ตามองเห็นเท่านั้น

เพราะมีหลายสิ่งหลายเรื่องเหมือนกันที่ผู้นำชั้นยอดต้องเห็นมัน รับรู้มัน และเข้าใจมันด้วยใจของเขาตรงๆโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการคิด คุณสมบัติอันนี้ ยากแก่การเลียนแบบ เพราะมันเป็นคุณสมบัติติดตัวของคนบางคนที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้นำในทางใดทางหนึ่งเท่านั้น

ในแง่ของความยั่งยืน ผู้นำทางความคิดย่อมเหนือกว่าผู้นำทางธุรกิจหรือผู้นำทางการเมือง แต่ผู้นำทางธรรมหรือผู้นำทางจิตวิญญาณที่แท้จริง ย่อมอยู่เหนือกาลเวลา จึงเหนือกว่าผู้นำประเภทอื่นๆทั้งปวง

Last updated