ตอนที่ 3: เซเปียนส์ครองโลกได้อย่างไร
หากพิจารณาจากในแง่เชาว์ปัญญา เมื่อล้านปีก่อน เซเปียนส์ก็เป็นสัตว์ที่ฉลาดที่สุดในบรรดาสัตว์ต่างๆอยู่แล้วแถมยังเป็นแชมป์โลกในด้านการสร้างเครื่องมืออีกด้วย แต่ถึงกระนั้นเซเปียนส์ในตอนนั้นก็ยังเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ไม่สลักสำคัญใดๆเลยและสร้างผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อระบบนิเวศที่ล้อมรอบตัวเองอยู่ ในตอนนั้น เซเปียนส์ยังขาดลักษณะประการที่สามที่นอกเหนือไปจากเชาว์ปัญญาและการสร้างเครื่องมือเพื่อทำให้ครอบครองดาวเคราะห์ดวงนี้ได้ เมื่อตรวจสอบบันทึกประวัติศาสตร์ เรากลับไม่พบความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างเชาว์ปัญญาและความสามารถในการสร้างเครื่องมือของมนุษย์แต่ละคนกับอำนาจของสปีขีส์ของเราโดยรวม
เมื่อ 20,000 ปีก่อนโดยเฉลี่ยแล้ว เซเปียนส์ในสมัยนั้นมีเชาว์ปัญญาและทักษะการสร้างเครื่องมือดีกว่าเซเปียนส์เฉลี่ยในปัจจุบันเสียอีก... ในเรื่องของการเอาชีวิตรอด แต่แม้กระนั้น เซเปียนส์เมื่อ 20,000 ปีก่อนก็ยังอ่อนแอกว่าเซเปียนส์ในปัจจุบันมากนัก ปัจจัยประการที่สามที่ทำให้เซเปียนส์ครองโลกใบนี้ได้ คือ "ความสามารถที่จะเชื่อมต่อคนมากมายเข้าด้วยกัน" แม้สมองของคนปัจจุบันดูเหมือนจะเล็กกว่าสมองของเซเปียนส์เมื่อสองหมื่นปีที่แล้วก็ตาม มนุษย์ในทุกวันนี้เป็นใหญ่บนดาวเคราะห์ดวงนี้อย่างสมบูรณ์ หาใช่เพราะคนแต่ละคนฉลาดเหนือกว่าสัตว์ต่างๆมาก หรือเพราะมีนิ้วที่แคล่วคล่องว่องไวกว่าชิมแปนซีหรือหมาป่า แต่เพราะเซเปียนส์เป็นสปีชีส์เพียงหนึ่งเดียวบนโลกนี้ที่มีความยืดหยุ่นมากพอจะร่วมมือกันแบบกลุ่มคนจำนวนมากได้ต่างหาก (หน้า 186)
มดและผึ้งเรียนรู้ที่จะร่วมมือเป็นกลุ่มก้อนนานนับล้านๆปีก่อนเซเปียนส์ก็จริง แต่ความร่วมมือของมดและผึ้งขาดความยืดหยุ่น จึงไม่สามารถออกแบบระบบสังคมขึ้นใหม่ชั่วข้ามคืน และไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามใหม่ๆหรือโอกาสใหม่ๆได้ ไม่เหมือนเซเปียนส์
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่กันเป็นสังคมอย่างช้างและชิมแปนซี ร่วมมือกันได้อย่างยืดหยุ่นมากแต่พวกมันทำเช่นนั้นได้แค่เพียงกลุ่มเล็กๆบนความคุ้นเคยส่วนตัวเท่านั้น มีแค่เซเปียนส์เท่านั้นที่สามารถร่วมมือกันอย่างยืดหยุ่นมากๆในหมู่คนแปลกหน้าโดยไม่จำกัดจำนวน ความสามารถอย่างเป็นรูปธรรมแบบนี้เองที่ใช้อธิบายเรื่องความเป็นเจ้าผู้ครองดาวเคราะห์โลกของเซเปียนส์ได้ มิใช่คำอธิบายด้วย"วิญญาณอันเป็นนิรันดร์" ตามคำตอบแบบเอกเทวนิยมดั้งเดิม(หน้า 146)
หนังสือ Homo Deus แหลมคมยิ่งเมื่อเสนอว่า การปฏิวัติเกษตรกรรมทำให้เกิดศาสนาแบบเทวนิยม แต่การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ก็ให้กำเนิดศาสนาแบบมนุษย์นิยม ซึ่งมนุษย์ได้เข้ามาแทนที่เทพเจ้าทั้งหลายในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของตัวตน (หน้า 142) ในหนังสือ Homo Sapiens กล่าวว่าการพัฒนาประวัติศาสตร์ของเซเปียนส์มาจากการปฏิวัติ 3ครั้งคือ
" การปฏิวัติการรับรู้" ที่ทำให้เกิดภาษา
"การปฏิวัติเกษตรกรรม" ที่ทำให้เกิดศาสนาแบบเทวนิยม
"การปฏิวัติวิทยาศาสตร์" ที่ทำให้เกิดศาสนาแบบมนุษย์นิยมในรูปของอุดมการ์เสรีนิยม, คอมมิวนิสต์(สังคมนิยม)และลัทธินาซี
จะเห็นได้ว่าผู้เขียน Homo Sapiens และ Homo Deus ได้ใช้มรรควิธีของ "ทฤษฎีวัตถุนิยมประวัติศาสตร์" แบบเดียวกับมาร์กซ์แต่ในรูปแบบที่อัปเกรดกว่าและตัดเรื่องการต่อสู้ทางชนชั้นออกไปในฐานะที่เป็นแรงขับเคลื่อนทางประวัติศาสตร์เท่านั้นเอง
ในการปฏิวัติเกษตรกรรม มนุษย์ได้ "ปิดปาก" สัตว์และพืชในป่าซึ่งต่างจากยุคก่อนที่มนุษย์ยังสื่อสารกับสัตว์ป่าและพืชในป่าได้เพราะมนุษย์ปฏิวัติความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์และพืชใหม่โดยเอาสัตว์เลี้ยงและพืชเพาะปลูกเข้ามาทดแทนสัตว์ป่าและพืชในป่าแทบจะสิ้นเชิง
ในการปฏิวัติวิทยาศาสตร์.... มนุษย์ได้ "ปิดปาก" เทพเจ้าด้วยเช่นกันเหลือแค่การแสดงเดี่ยวบนเวทีของมนุษย์เท่านั้น ในอนาคตอันใกล้ การปฏิวัติปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังเริ่มต้น ... อัลกอริทึมจะเป็นฝ่าย "ปิดปาก" มนุษย์อย่างแน่นอน
ลัทธิอัลกอริทึมคือแนวคิดแบบทฤษฎีวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ที่สุดโต่งล่าสุดในการใช้อธิบายชีวิตและวิวัฒนาการของสรรพสิ่ง อารมณ์ความรู้สึกถูกลดทอนให้เป็นอัลกอริทึมทางชีวเคมี สิ่งมีชีวิตก็คืออัลกอริทึม (หน้า 122) การปฏิเสธการดำรงอยู่ของวิญญาณที่เป็นนิรันดร์แบบเอกเทวนิยมของนักวิทยาศาสตร์สายชีวภาพและสายวิวัฒนาการยังพอเข้าใจได้และยอมรับได้ แต่การสุดโต่งจนถึงขั้นปฏิเสธการดำรงอยู่จริงของจิต(consciousness) หรือจิตสำนึกผมว่ามากไป
เพราะคนพวกนี้มองว่า จิตเกิดจากปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมีภายในสมองเท่านั้น (หน้า155) ทฤษฎีชีววิทยาในปัจจุบันไม่มองว่าความทรงจำ จินตนาการและความคิดของคนเราอยู่เหนือเกินขอบเขตของวัตถุ (หน้า 161) ทำให้สรุปแบบรวบรัดว่า ชีวิตเป็นแค่เรื่องของการประมวลข้อมูลเท่านั้น (หน้า 167)
การจะได้ประโยชน์จากการอ่าน Homo Sapiens, Homo Deus โดยสมบูรณ์ เราจะต้องรู้ทันข้อจำกัดเชิงญาณวิทยาของหนังสือเล่มนี้ที่ยึดติดอยู่กับกรอบทฤษฎีวัตถุนิยมประวัติศาสตร์และลัทธิลดทอนนิยมเชิงชีววิทยาให้ได้ก่อน
Last updated