ตอนที่ 12: เราต้องก้าวข้ามแต่หลอมรวมลัทธิข้อมูลนิยม

โดย ดร. สุวินัย ภรณวลัย

ในสายตาของนักข้อมูลนิยม​ สปีซีส์มนุษย์ทั้งหมดเป็นแค่ระบบประมวลผลข้อมูลเดี่ยวแห่งหนึ่ง​ (a​ single data-processing system)​ โดยที่มนุษย์แต่ละบุคคลทำงานเป็น​"ชิป" (chips)​ในระบบนั้น​ (หน้า​483) ด้วยเหตุนี้​ประวัติศาสตร์ทั้งมวลของพวกเซเปียนส์จึงมองได้ว่าเป็น​ กระบวนการหนึ่งในการพัฒนาประสิทธิภาพ​ของระบบประมวลผลข้อมูลเดี่ยวนี้​ โดยผ่านกระบวนวิธีพื้นฐาน​ 4​ แบบคือ

  1. การเพิ่มจำนวนประมวลผล เมืองที่มีพลเมืองมากยิ่งมีพลังการประมวลผลมาก

  2. การเพิ่มความหลากหลายของตัวประมวลผล การใช้ตัวประมวลผลหลายรูปแบบในระบบเดี่ยวระบบหนึ่งจะช่วยเพิ่มความคล่องแคล่วและความคิดสร้างสรรค์ได้

  3. การเพิ่มจำนวนการเชื่อมโยงระหว่างตัวประมวลผล เครือข่ายที่เชื่อมโยงในวงกว้างย่อมก่อให้เกิดนวัตกรรมทางเศรษฐกิจ​เทคโนโลยีและสังคมมากกว่าเมืองที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว

  4. การเพิ่มเสรีภาพในการเคลื่อนตัวตามการเชื่อมโยงที่มีอยู่

การก่อสร้างระบบประมวลผลข้อมูลเซเปียนส์ทำให้เกิดขั้นตอนหลัก​ 4​ ระยะคือ

  • ระยะแรก​เริ่มด้วยการปฏิวัติการรับรู้เมื่อ​70,000 ปีก่อน​ ซึ่งทำให้สามารถเชื่อมโยงเซเปียนส์จำนวนมากเข้ามาในเครือข่ายประมวลผลข้อมูลชุดเดียวกัน

  • ระยะที่สองเริ่มต้นด้วยการปฏิวัติเกษตรกรรมและดำเนินไปจนกระทั่งถึงการคิดค้นระบบการเขียนแบะเงินตราเมื่อ​ 5,000 ปีที่แล้ว

  • ระยะที่สามเริ่มต้นขึ้นด้วยการคิดค้นระบบการเขียนและเงินตราเมื่อ​ ​5,000​ปีก่อนและดำรงอยู่จวบกระทั่งการเริ่มต้นปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์

  • ระยะที่สี่ที่เป็นระยะสุดท้ายของประวัติศาสตร์เริ่มขึ้นราวปี​ค.ศ.​1462 จนถึงปัจจุบันที่สารสนเทศได้ไหลเวียนอย่างเสรีไปทั่วโลก​จนมนุษยชาติกลายเป็น​"หมู่บ้านโลก" ดังเช่นปัจจุบัน

จากนี้ไปทิศทางของมนุษยชาติในฐานะที่เป็นระบบประมวลผลเดี๋ยว​จึงมีแต่มุ่งไปเป็นระบบประมวลผลข้อมูลใหม่ที่มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม​คือเป็นอินเตอร์เน็ตของสรรพสิ่ง​ (Internet​ of​ All Things) หากภารกิจนี้สำเร็จเมื่อไหร่​เมื่อนั้นคือถึงคราวที่​เซเปียนส์จะสาปสูญไปจากโลกนี้​ (หน้า​486) เพราะในมุมมองของข้อมูลนิยม​ "มนุษย์เป็นแค่เครื่องมือสำหรับสร้างอินเตอร์เน็ตของสรรพสิ่งเท่านั้น"

จากระบบประมวลข้อมูลระดับโลก​มันจะแผ่ขยายตนเองไปสู่ระบบประมวลข้อมูลระดับเอกภพนี้​ สุดท้ายมันจะวิวัฒน์ต่อไปจนถึงขั้นเป็นระบบประมวลข้อมูลระดับจักรวาลในที่สุดมันจะมีอยู่ทุกแห่งหนและควบคุมทุกสิ่ง​ โดยที่มนุษย์ถูกกำหนดชะตาไว้ให้ควบรวมเข้าไปกับมัน โฮโมเซเปียนส์จะกลายเป็นอัลกอริทึมที่ตกยุค​ถ้าไม่สามารถยกระดับจิต​อัปเกรดจิตใจและปัญญาญาณให้สอดคล้องกับระบบประมวลข้อมูลระดับโลกที่กำลังรุดหน้าพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็วไปสู่​ซิงกูลาริตี้ (Singularity)​ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่กำลังเกิดในอนาคต นี่คือความจริงอย่างยิ่ง กึ๋นเรื่องวิชั่นของผู้นำที่สามารถมองอนาคตขาดด้วยหน่วยเวลาสามสิบ ห้าสิบปี หรือร้อยปีขึ้นไปดุจมีตาทิพย์คือตัวชี้ขาดว่าจะนำพาผู้คนไปรอดหรือไม่รอด

เราต้องมองและตั้งโจทย์ว่าหลีกเลี่ยง "ความจริงใหม่"นี้ไม่ได้ แล้วถามตัวเองว่าเราจะเป็น อัศวินเจได หรือนีโอใน Matrix หรือเป็นพุทธะหรือพระอวโลกิเตศวร ในยุคข้อมูลนิยมได้อย่างไร? คนที่ตอบว่า "อย่าไปสนใจ เราคงตายก่อน ปล่อยให้คนรุ่นหลังเผชิญชะตากรรมตามยถากรรมกันเอง" คือ คนที่ใจแคบ จิตต่ำต้อย และด้อยปัญญา ในการช่วยชี้ทางให้คนรุ่นหลัง

จิต ​(consciousness)​ และจิตวิญญาณ​(spirit)​ ​หรือธรรมจิตก็มีจริง​ แต่วิญญาณ (soul)​ ที่เป็นนิรันดร์ไม่มีจริง​ พวกข้อมูลนิยมจึงพูดถูกแค่ครึ่งเดียวคือ​เรื่อง​ soul​ ไม่มีจริง​ แต่​พวกข้อมูลนิยมหลงผิดอย่างสิ้นเชิงที่ไม่ยอมรับว่า​จิต​ (consciousness)​ มีจริง มีแต่ยอมรับและเข้าใจว่าจิตมีจริงก่อน​ ถึงจะมีปัญญาญาณเข้าใจได้ว่า​จิตวิญญาณ​ที่รูปการพัฒนาสูงสุดคือ​พุทธะ​ก็มีจริงด้วยเช่นกัน นี่คือหนทางในการ "ก้าวข้ามแต่หลอมรวม" ลัทธิข้อมูลนิยม​

Last updated