ตอนที่ 17 – จานอลูมิเนียมของนโปเลียน
Last updated
Last updated
เมื่อ 500 ปีที่แล้วเกิดการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ทำให้มนุษย์เชื่อว่าความรู้ใหม่ๆ จะสามารถนำไปสร้างเทคโนโลยีและเครื่องมือใหม่ๆ ที่จะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นได้ การปฏิวัติครั้งนี้มาพร้อมกับการล่าอาณานิคมและระบอบทุนนิยมที่ขับเคลื่อนให้โลกพัฒนาในเชิงวัตถุอย่างก้าวกระโดด
มาตอนนี้เราจะพูดถึงอีกการปฏิวัติหนึ่ง นั่นคือ Industrial Revolution หรือการปฏิวัติอุตสาหรรมที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 200 ปีที่แล้ว
แล้วแต่พระอาทิตย์ มนุษย์นั้นรู้จักการใช้พลังงานจากหลากหลายแหล่งมานานมากแล้ว เช่นเผาไม้เพื่อเอาความร้อนมาต้มน้ำ หรือใช้พลังลมในการแล่นเรือ
แต่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ไม่เคยทำเป็นคือการแปรรูปพลังงาน มนุษย์ไม่รู้วิธีการเปลี่ยนพลังงานความร้อนไปทำให้อย่างอื่นเคลื่อนไหวได้ และไม่รู้ว่าจะนำพลังงานที่ได้จากลมมาเปลี่ยนเป็นความร้อนได้อย่างไร
วิธีแปรรูปพลังงานอย่างเดียวที่มนุษย์รู้จักคือการเปลี่ยนอาหารที่กินเข้าไปให้กลายเป็นกำลังของกล้ามเนื้อ โดยพลังงานที่อยู่ในอาหารก็คือพลังงานจากแสงอาทิตย์ที่พืชสังเคราะห์มาเก็บไว้ก่อนที่มนุษย์หรือสัตว์อื่นๆ จะนำไปทาน
ดังนั้นในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา กิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์จึงถูกกำกับด้วยวงจรสองอย่าง ได้แก่วงจรการออกดอกออกผลของพืชและวงจรการหมุนรอบดวงอาทิตย์ของโลก
ในฤดูหนาวที่แดดไม่ค่อยมี พืชพันธุ์ไม่ออกดอกออกผล ชาวนาก็เก็บเกี่ยวได้เพียงเล็กน้อย ส่วยและภาษีจึงต่ำ ทหารไม่มีเสบียง และพระราชาแคว้นต่างๆ จึงเก็บตัวอยู่แต่ในวัง
ในฤดูที่พระอาทิตย์ร้อนแรง ผลหมากรากไม้เต็มทุ่งให้ชาวนาได้เก็บเกี่ยว รัฐเก็บส่วยได้มาก ทหารมีกำลังวังชาและเริ่มลับดาบ พระราชาจึงนัดประชุมกับเหล่าอำมาตย์เพื่อวางแผนเปิดศึกกับต่างเมือง
ความลับที่อยู่ในครัว
จริงๆ แล้วควรจะมีแม่บ้านซักคนคิดออกนานแล้วว่าพลังงานความร้อนสามารถนำมาเปลี่ยนเป็นพลังงานจลน์ที่ทำให้สิ่งของเคลื่อนไหวได้ เพราะมนุษย์เราต้มน้ำมาหลายปีดีดัก และเวลาน้ำเดือดเราก็จะได้ยินเสียงฝากากระทบกับหม้อ แต่กลับไม่มีใครเอะใจคิดจะนำมันไปประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่น
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว เมืองจึงมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ รัฐจำเป็นต้องถางป่าเพื่อสร้างแหล่งที่อยู่อาศัย เมื่อป่าหายไปอังกฤษจึงเหลือไม้ให้ใช้เป็นฟืนน้อยลงทุกที อังกฤษจึงเริ่มหันมาเผาถ่านหิน (coal) แทน
แต่เหมืองถ่านหินส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ที่เป็นหนองน้ำ ถ่านหินชั้นลึกๆ จึงเข้าถึงได้ยากเพราะมีน้ำท่วมปิดอยู่ และปัญหานี้เองที่กระตุ้นให้คนคิดค้น “เครื่องจักรไอน้ำ” (steam engine) ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นพระเอกของการปฏิวัติอุตสาหกรรม
เครื่องจักรไอน้ำมีวิธีการทำงานง่ายๆ คือคุณเผาเชื้อเพลิงอะไรบางอย่าง และนำความร้อนที่ได้นั้นมาต้มน้ำ เมื่อน้ำเดือดก็จะเกิดไอน้ำพวยพุ่งขึ้นมาจนไปดันลูกสูบให้ขยับ
นี่คือครั้งแรกที่มนุษย์สามารถแปรรูป “ความร้อน” ให้กลายเป็น “การเคลื่อนไหว” ได้
เครื่องจักรไอน้ำถูกใช้เพื่อนำมาวิดน้ำออกจากเหมืองถ่านหินอยู่นับสิบปี ก่อนที่คนอังกฤษจะลองเอามันไปปรับใช้กับเครื่องทอผ้า ซึ่งก็ทำให้อังกฤษก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสิ่งทอของโลก
ในปี 1825 วิศวกรชาวอังกฤษลองใช้เครื่องจักรไอน้ำขับเคลื่อนรถไฟที่ขนถ่านหินเต็มขบวน และทำให้มันวิ่งไปตามรางเหล็กได้ถึง 20 กิโลเมตร อีกเพียง 5 ปีต่อมารถไฟเชิงพาณิชย์ขบวนแรกของโลกก็เปิดให้บริการระหว่างเมืองแมนเชสเตอร์และลิเวอร์พูล ในชั่วเวลาเพียงสองทศวรรษอังกฤษก็มีทางรถไฟยาวนับหมื่นกิโลเมตร
จากนั้นมามนุษย์ก็หลงใหลการการแปรรูปพลังงานด้วยวิธีอื่นๆ
ก่อนปี 1900 น้ำมันถูกใช้เพียงเอาไว้เคลือบหลังคาหรือเป็นสารหล่อลื่นในเพลาล้อ แต่เมื่อมนุษย์คิดค้นเครื่องยนต์สันดาปภายในได้ (internal combustion engine) น้ำมันก็กลายมาเป็นขุมทรัพย์ที่ทุกประเทศต่างอยากมีไว้ในครอบครองขนาดที่ยอมทำสงครามเข่นฆ่ากัน
พลังงานไฟฟ้าก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ของพลังงานน้องใหม่มาแรง เมื่อ 200 ปีที่แล้วไฟฟ้าถูกใช้ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์และเอาไว้เล่นมายากลบ้านๆ เท่านั้น แต่แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็ได้พัฒนามันจนไฟฟ้ากลายมาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตจนกลายเป็นสิ่งที่เราขาดไม่ได้ไปแล้ว
มหาสมุทรแห่งพลังงาน มีคนเคยทำนายไว้นานแล้วว่า หากมนุษย์ใช้พลังงานอย่างสุรุ่ยสุร่าย พลังงานจะหมดโลก แต่ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา เมื่อใดก็ตามที่แหล่งพลังงานหนึ่งทำท่าจะขาดแคลน มนุษย์ก็จะค้นพบเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้เรามีพลังงานใช้มากกว่าเดิมเสียอีก
เราจึงได้เรียนรู้ว่าพลังงานนั้นมีมากมายไม่จำกัด สิ่งที่จำกัดคือความรู้ของเราในการนำพลังงานนั้นมาใช้ต่างหาก
พลังงานที่อยู่ในเชื้อเพลิงปิโตรเลียมนั้นถือว่าจิ๊บจ๊อยมากเมื่อเทียบกับพลังงานจากแสงอาทิตย์ที่โลกได้รับมาฟรีๆ ปีละ 3,776,800 exajoules
1 joule คือพลังงานที่เราใช้ในการยกแอปเปิ้ลให้สูงขึ้น 1 เมตร
1 exajoules = 1 ตามด้วยศูนย์ 18 ตัว
ในพลังงานเกือบสี่ล้านเอ๊กซาจูลส์ที่มาจากแสงอาทิตย์นี้ ต้นไม้ทั่วโลกจะสังเคราะห์แสงและดูดซับพลังงานไว้ได้ประมาณ 3,000 exajoules
และพลังงานที่คนทั้งโลกใช้ต่อปีคือ 500 exajoules หรือเท่ากับพลังงานที่แสงอาทิตย์ส่งมายังโลกภายในเวลา 90 นาทีเท่านั้น
เรายังถูกรายล้อมด้วยพลังงานอื่นๆ อีก เช่นพลังงานนิวเคลียร์และพลังงานแรงโน้มถ่วง (ที่เห็นได้ชัดๆ คือน้ำขึ้นน้ำลงอันเกิดจากแรงโน้มถ่วงที่ดวงจันทร์มีต่อโลก)
มนุษย์เราจึงถูกรายล้อมด้วยมหาสมุทรแห่งพลังงาน เหลือเพียงแต่ว่าเราจะค้นพบวิธีดึงพลังงานเหล่านั้นมาใช้ได้รึเปล่า
จานอลูมิเนียมของนโปเลียน ประโยชน์อีกข้อที่มนุษย์ได้จากการแปรรูปพลังงาน คือมันได้ช่วยให้เราคิดค้นสสารใหม่ๆ เช่นพลาสติก หรือค้นพบธาตุใหม่ๆ อย่างซิลิคอนหรืออลูมิเนียม
อลูมิเนียมถูกค้นพบในช่วงปี 1820 แต่การสกัดอลูมิเนียมออกมาในสมัยนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก เป็นเวลาหลายทศวรรษที่อลูมิเนียมมีราคาแพงยิ่งกว่าทอง ช่วงปี 1860 จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 (คนละองค์กับองค์ที่ดังที่สุด) จะจัดเตรียมจานชามอลูมิเนียมให้เฉพาะแขกซุเปอร์วีไอพีเท่านั้น ส่วนแขกที่สำคัญรองลงมาจะได้กินจากจานทองคำเท่านั้น!
ถ้าคุณลองหยิบกระปุกครีมกันแดดหรือครีมทามือขึ้นมาดูฉลาก คุณจะเห็นว่าส่วนผสมมีแต่ชื่อประหลาดๆ ทั้งนั้น เกือบทั้งหมดของส่วนผสมเหล่านี้เพิ่งถูกคิดค้นในช่วง 200 ปีที่ผ่านมานี้เอง
ปฏิวัติเกษตรกรรมครั้งที่สอง เวลาได้ยินคำว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรม เรามักจะนึกถึงภาพโรงงานที่มีแต่ปล่องควันดำเต็มไปหมด แต่ผู้เขียนบอกว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้น โดยเนื้อแท้แล้วคือการปฏิวัติเกษตรกรรมครั้งที่ 2 นั่นเอง
เมื่อมนุษย์คิดค้นเครื่องจักรไอน้ำได้ ผลิตภาพ (productivity) ของมนุษย์ก็พุ่งทะยาน งานที่เคยต้องใช้แรงงานคนก็ถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร ปุ๋ยเคมีถูกคิดค้นเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ตู้เย็นและยานพาหนะทำให้สามารถเก็บอาหารได้ยาวนานและส่งอาหารออกไปยังประเทศต่างๆ ได้ทั่วโลก
ช่วงเวลาเดียวกันนี้เองที่แนวคิดมนุษย์นิยมเริ่มเฟื่องฟู (humanist religions – แนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียม และการยกให้ประโยชน์ต่อมนุษย์เป็นเรื่องสำคัญกว่าสิ่งใด) สัตว์ที่อยู่ในฟาร์มจึงถูกลดค่าจากสิ่งมีชีวิตที่มีหัวใจและเจ็บปวดได้ให้กลายเป็นเพียง “ผลิตภัณฑ์”
ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมฟาร์มไข่ ลูกไก่ที่เพิ่งฟักออกมาจะถูกส่งไปตามสายพาน ลูกไก่ตัวเมียจะถูกคัดเก็บไว้ ลูกไก่ตัวผู้หรือลูกไก่ที่ไม่สมประกอบจะถูกคัดออกส่งไปห้องรมแก๊ส เสร็จแล้วจึงถูกส่งลงเครื่องบด ในแต่ละปีลูกไก่ตัวผู้นับร้อยล้านตัวจะถูกฆ่าในรูปแบบนี้
ในตอนที่แล้วเราพูดถึงการค้าทาสแอฟริกันที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะว่าคนยุโรปเหยียดคนผิวสี มันเป็นเพียงกลไกของตลาด
อุตสาหกรรมอาหารก็เช่นกัน สัตว์ในฟาร์มจำนวนมากโดนสังหารไม่ใช่เพราะว่ามนุษย์เกลียดชังสัตว์เหล่านี้ มันเป็นเพียงผลลัพธ์ของการปฏิวัติอุตสาหกรรมและทุนนิยมเท่านั้นเอง
คนดำและลูกไก่ไม่ได้ถูกทารุณเพราะความชิงชังแต่เพราะความชินชา
ยุคแห่งการช็อปปิ้ง สองร้อยปีที่ผ่านมา ผลผลิตของมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แต่หากจะให้สภาวะนี้คงอยู่ได้ การซื้อและการบริโภคก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
และนี่คือที่มาของลัทธิบริโภคนิยมเหรือ Consumerism นั่นเอง
นี่เป็นเรื่องที่ขัดกับหลักการสมัยก่อนที่พร่ำสอนให้คนรู้จักมัธยัสถ์และอดออม ยิ่งถ้าเราเป็นชนชั้นล่างด้วยแล้ว การบริโภคอะไรตามใจกิเลสถือเป็นเรื่องต้องห้าม เพราะการใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายนั้นเป็นเรื่องของชนชั้นสูงเท่านั้น
แต่เมื่อยุคบริโภคนิยมเฟื่องฟู ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ทุกคนถูกแนะนำว่าเราจะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อเราจับจ่ายใช้สอย ชีวิตคุณจะดีขึ้นถ้าคุณซื้อผลิตภัณฑ์ตัวนี้ คุณจะฟินสุดๆ ถ้าคุณได้กินอาหารจานนี้
ทุกอย่างจึงกลับด้านจากสมัยก่อน ในอเมริกาคนจนกลายเป็นคนที่มีปัญหาโรคอ้วนมากกว่าคนรวยเพราะได้กินแต่อาหารขยะราคาถูก พอเป็นโรคอ้วนแล้วก็ต้องไปซื้ออาหารหรือยาลดความอ้วนอีก (นายทุนได้เงินสองเด้งเลย) เม็ดเงินที่คนอเมริกันใช้ไปกับการซื้อผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนนั้นมีขนาดใหญ่พอที่จะซื้ออาหารแจกคนอดอยากทั่วโลกเลยทีเดียว
ส่วนคนที่รวยจริงๆ แทนที่จะใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายเหมือนสมัยก่อน กลับเอาเงินที่มีอยู่ไปลงทุนเพื่อให้งอกเงยตามตำราของทุนนิยม
ทุนนิยมและบริโภคนิยมนั้นจึงเป็นเหมือนหัวและก้อยของเหรียญเดียวกันที่มีบทบัญญัติเพียงสองประการ
บัญญัติของคนรวยก็คือ “ลงทุน!”
ส่วนบัญญัติของคนจนก็คือ “ซื้อ!”
ถ้ามองทุนนิยมและลัทธิบริโภคนิยมเป็นศาสนา ก็ถือได้ว่ามันประสบความสำเร็จมากยิ่งกว่าศาสนาหลักๆ ของโลกเสียอีก
ศาสนาแต่ก่อนเก่าสอนว่าสวรรค์นั้นรออยู่ แต่เราต้องมีความเมตตา มีความอดทน มีความเสียสละ และระงับกิเลสให้ได้ แต่นี่เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง ชาวพุทธส่วนใหญ่จึงไม่ได้เจริญรอยตามพระพุทธเจ้า และชาวคริสต์ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ปฏิบัติตามพระเยซู
ทุนนิยมและบริโภคนิยมจึงนับเป็นศาสนาแรกที่ผู้คนทำตามความคาดหวังของระบอบอย่างเคร่งครัด โลกนี้จะเป็นดั่งสรวงสวรรค์หากคนรวยยังไม่คิดจะหยุดรวยและคนส่วนใหญ่ยังใช้เงินซื้อความสุขอยู่ร่ำไป
ที่มาบทความ :https://anontawong.com