ตอนที่ 20 – อวสาน Sapiens
Last updated
Last updated
ในสมัยก่อน คนที่เชื่อมั่นในศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวจะเชื่อว่ามนุษย์และสรรพสัตว์ล้วนถูกพระเจ้าสร้างขึ้นมา และเรียกกระบวนการนี้ว่า Intelligent Design หรือการออกแบบอย่างชาญฉลาด
แต่หลังจากการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ คนส่วนใหญ่หันมาเชื่อในทฤษฎีของ Charles Darwin ที่สันนิษฐานว่านับตั้งแต่สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวได้ถือกำเนิดขึ้นในท้องทะเลของโลกเมื่อ 4 พันล้านปีที่แล้ว กระบวนการ Natural Selection หรือ “การคัดสรรโดยธรรมชาติ” คือแรงผลักดันให้สิ่งมีชีวิตตัวนั้นค่อยๆ พัฒนาและขยายเผ่าพันธุ์จนกลายมาเป็นพืชพรรณ สรรพสัตว์ และมนุษย์ที่มีองค์ประกอบซับซ้อนอย่างทุกวันนี้
คนที่เชื่อเรื่อง Natural Selection จะมองว่าการที่ยีราฟคอยาวไม่ใช่เพราะประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า แต่เป็นเพราะว่ายีราฟที่คอยาวจะกินอาหารได้มากกว่าและออกลูกได้มากกว่ายีราฟที่คอสั้น ดังนั้นยีราฟที่คอยาวจึงมีอัตราการรอดชีวิตที่สูงกว่าและสืบพันธุ์มาจนถึงทุกวันนี้
เป็นเวลาถึง 4 พันล้านปีที่สิ่งมีชีวิตทุกผู้ทุกนามตกอยู่ใต้กระบวนการ Natural Selection
แต่ในอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ กระบวนการ Intelligent Design จะกลับมาอินเทรนด์อีกครั้งหนึ่ง เพียงแต่คราวนี้ “ผู้ออกแบบ” จะไม่ใช่พระเจ้าของศาสนาใด แต่เป็นชาว Homo Sapiens นี่เอง
กระต่ายเรืองแสง
ในปี 2000 ศิลปินชาวบราซิลเลียนนาม Eduardo Kac ได้ว่าจ้างนักวิทยาศาสตร์ในฝรั่งเศสให้ช่วยเอายีนในแมงกะพรุนเรืองแสงสีเขียวมาฉีดใส่ตัวอ่อนกระต่าย ซึ่งพอกระต่ายตัวนี้เกิดมามันก็กลายเป็นกระต่ายที่เรืองแสงสีเขียวในที่มืดได้ กระต่ายตัวนี้มีชื่อว่า Alba*
Alba ไม่ได้เกิดจาก Natural Selection แน่ๆ เพราะไม่เคยมีบรรพบุรุษกระต่ายตัวไหนที่เรืองแสงได้ มันจึงอาจเป็นสิ่งมีชีวิตตัวแรกที่เกิดจาก Intelligent Design และเป็นเหมือนหมุดหมายสำคัญที่เปิดศักราชใหม่แห่งวิวัฒนาการที่ไม่ได้ตกอยู่ใต้กฎ Natural Selection อีกต่อไป
ณ ปี 2014 ที่ผู้เขียนเขียนหนังสือเรื่อง Sapiens ขึ้นมานี้ Intelligent Design มีอยู่สามวิธี ได้แก่วิศวกรรมทางชีววิทยา (biological engineering) วิศวกรรมไซบอร์ก (cyborg engineering) และการสร้างสิ่งมีชีวิตอนินทรีย์ (inorganic life)
แมมมอธจะกลับมา ในปี 1996 นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการปลูกกระดูกอ่อนของวัวลงบนหลังของหนู และหน้าตาของมันก็คล้ายหูมนุษย์เลย โดยนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าความรู้นี้จะทำให้เราสามารถสร้างอวัยวะเทียมเพื่อนำมาใช้ในคนได้
นักวิทยาศาสตร์ยังสามารถตัดต่อพันธุกรรม (genetic engineering) ได้อีกด้วย แต่เนื่องจากเป็นประเด็นที่อ่อนไหว งานวิจัยด้านนี้จึงถูกจำกัดเฉพาะสิ่งมีชีวิตเล็กๆ อย่างไส้เดือนหรือหนูทดลองเท่านั้น โดยนักพันธุศาสตร์ได้ค้นพบวิธีการตัดต่อยีนที่ทำให้ไส้เดือนประเภทหนึ่งมีอายุยืนยาวขึ้น 6 เท่า ทำให้หนูบางตัวกลายเป็นหนูอัจริยะที่มีความจำเป็นเลิศ และทำให้หนูนาซึ่งปกติมีพฤติกรรมสำส่อนให้กลายเป็นสัตว์ผัวเดียวเมียเดียวได้
นอกจากนี้ นักพันธุกรรมยังกำลังทำสิ่งที่เราเคยเห็นในหนัง Jurassic Park อีกด้วย ไม่ใช่การคืนชีพให้ไดโนเสาร์นะครับ แต่เป็นการคืนชีพให้แมมมอธ เพราะมีการขุดพบศพของแมมมอธที่ถูกแช่แข็งไว้ในไซบีเรียและนักวิทยาศาสตร์ก็กำลังทำการถอดรหัส DNA ของแมมมอธ จากนั้นก็จะนำมันไปให้ช้างอุ้มท้อง ซึ่งถ้าทำสำเร็จเราก็จะมีแมมมอธตัวแรกในรอบ 5,000 ปี
ยังไม่พอ ศาสตราจารย์ George Church แห่งมหาวิทยาลัย Harvard ยังบอกอีกว่า เราน่าจะชุบชีวิตให้มนุษย์นีแอนเดอร์ธาลได้ (Neanderthal) เพราะนักพันธุกรรมได้ถอดรหัส DNA ของนีแอนเดอธาลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าใครพร้อมที่จะสนับสนุนเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์ เขาก็พร้อมที่จะทำภารกิจนี้และเชื่อว่าน่าจะมีอาสาสมัครรับอุ้มบุญให้กับนีแอนเดอธาลคนแรกในรอบ 30,000 ปีด้วย
แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ทำไมไม่ออกแบบมนุษย์ให้ดีกว่าเดิมด้วยซะเลย? เพราะการถอดรหัส DNA ของมนุษย์นั้นไม่ได้ยากไปกว่าการถอดรหัสหนูเท่าไหร่ (จำนวน DNA ของมนุษย์มีมากกว่าหนูแค่ 13%) ถ้าเราสามารถออกแบบหนูอัจฉริยะและหนูนาที่รักเดียวใจเดียวได้ ทำไมเราไม่ทำให้มนุษย์มีคุณสมบัติเหล่านั้นบ้าง?
แต่เนื่องจากวิศวพันธุกรรมกับมนุษย์นั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและถูกต่อต้านสูงมาก การศึกษาวิจัยในมนุษย์จึงเป็นไปอย่างช้าๆ แต่สุดท้ายแล้วจะมีใครหยุดมันได้จริงหรือ? สมมติว่ามีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งคิดค้นวิธีรักษาโรคอัลไซเมอร์ได้ และวิธีการเดียวกันนี้ยังสามารถทำให้คนธรรมดามีความจำเป็นเลิศได้ จะมีเหตุผลอะไรที่จะห้ามไม่ให้นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กับคนธรรมดา?
มนุษย์ไซบอร์ก นิยามของไซบอร์กคือสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งส่วนผสมของอินทรีย์และอนินทรีย์ (organic & inorganic parts) จริงๆ แล้วพวกเราตอนนี้ก็มีสิ่งที่เป็นอนินทรีย์อยู่บนร่างกายอยู่แล้ว เช่นแว่นตาหรือมือถือ แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกำลังจะทำให้มนุษย์กลายเป็นไซบอร์กเต็มรูปแบบเพราะเครื่องมือเหล่านี้จะถูกฝังอยู่เป็นเนื้อเดียวกับร่างกายเราเลย
ยกตัวอย่างบริษัท Retina Implant ในเยอรมันที่สามารถทำให้คนตาบอด “มองเห็น” ได้ด้วยการฝังชิปลงในตาของผู้พิการ เมื่อชิปได้รับภาพมันจะส่งสัญญาณไฟฟ้าไปกระตุ้นเซลล์ประสาทที่เชื่อมไปยังสมองอีกทีหนึ่ง โดยในปัจจุบันเทคโนโลยีตัวนี้ทำให้คนตาบอดสามารถหันหน้าถูกทิศ อ่านตัวหนังสือได้ และยังแยกแยะใบหน้าคนได้อีกด้วย
นาย Jesse Sullivan ที่สูญเสียแขนไปทั้งสองข้างจากอุบัติเหตุ ได้รับการผ่าตัดฝังแขน bionic (ชีวประดิษฐศาสตร์) ที่เขาสามารถควบคุมได้ด้วยความคิดไม่ต่างอะไรกับคนที่มีแขนปกติ และแม้แขนกลเหล่านี้จะยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเหมือนแขนมนุษย์ แต่ข้อดีก็คือมันสามารถถูกสร้างให้แข็งแรงกว่าแขนมนุษย์ได้หลายเท่า
นักวิจัยกำลังศึกษาการทำงานของสมองเพื่อช่วยผู้ป่วยโรค Locked-in syndrome ที่ไม่สามารถขยับอะไรได้เลยนอกจากการกะพริบตา โดยนักวิจัยได้ฝังเครื่องรับสัญญาณไว้ที่หัวสมองเพื่อพยายามจะเปลี่ยนสัญญาณเหล่านี้เป็นคำพูด ซึ่งถ้าทำได้สำเร็จก็จะทำให้คนป่วยด้วยโรคนี้สามารถพูอคุยกับโลกภายนอกได้ และเราอาจใช้เทคโนโลยีนี้ในการอ่านความคิดคนได้อีกด้วย
แต่โปรเจ็คที่น่าสนใจที่สุดคือการเชื่อมสมองเข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อให้มันพูดคุยกันได้โดยตรง จะเกิดอะไรขึ้นหากมนุษย์เชื่อมสมองเข้ากับอินเตอร์เน็ตหรือเชื่อมสมองของตนเองเข้ากับสมองของคนอื่นๆ? ถ้าเราสามารถเข้าถึงความคิดและความทรงจำของคนทั่วโลกได้ราวกับมันเป็นความคิดและความทรงจำของเราเอง จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวตนและเพศสภาพของเรา? เราจะมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร? ไซบอร์กที่อยู่ในสภาพนี้คงไม่สามารถเรียกว่ามนุษย์ได้อีกแล้ว แต่เป็นสิ่งมีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่แตกต่างจากเราโดยสิ้นเชิง
ชีวิตไร้ขอบเขต อีกความเป็นไปได้หนึ่งในการออกแบบชีวิตคือชีวิตที่เป็นอนินทรีย์ล้วนๆ (completely inorganic life) จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราสามารถดาวน์โหลดทุกอย่างในหัวสมองมนุษย์ลงคอมพิวเตอร์ได้ และคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นสามารถคิดและพูดได้เหมือนเราทุกอย่าง?
และจะเกิดอะไรขึ้นถ้านักวิทยาศาสตร์สามารถเขียนโค้ดที่ทำให้คอมพิวเตอร์มีความคิดเป็นของตัวเอง มีตัวมีตน และมีความทรงจำของตัวเองได้? The Human Brain Project คือโครงการที่ถูกตั้งขึ้นเมื่อปี 2005 โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างคอมพิวเตอร์ที่ทำงานเหมือนสมองมนุษย์ ซึ่งถ้าโครงการนี้สำเร็จ “ชีวิต” ที่เคยถูกจำกัดอยู่แต่ในร่างอินทรีย์ (organic body) อยู่ 4 พันล้านปีจะถูกปลดปล่อยสู่โลก inorganic อันกว้างใหญ่และแปรสภาพไปอยู่ในรูปแบบที่ยากเกินจะหยั่งถึง
Singularity ครั้งใหม่ การถอดรหัส DNA มนุษย์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์นั้นต้องใช้เงินถึง 3 พันล้านดอลลาร์และใช้เวลาถึง 15 ปี แต่ตอนนี้เราสามารถถอดรหัส DNA ของเราเองด้วยการจ่ายเงินแค่ไม่กี่ร้อยดอลลาร์และใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์
จากนี้ไปการรักษาโรคจึงจะมีความจำเพาะเจาะจงกับตัวคนไข้มากขึ้นเรื่อยๆ คุณหมออาจจะอ่านรหัส DNA แล้วบอกได้เลยว่าคุณมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับ แต่ไม่มีความเสี่ยงเรื่องโรคหัวใจ หรือยาตัวนี้อาจจะทำให้คนส่วนใหญ่ตายได้แต่มันเข้ากับร่างกายของคุณพอดี
แต่เราจะโดนบริษัทประกันขอให้เราส่ง DNA ให้เขาตรวจสอบก่อนคิดเบี้ยประกันรึเปล่า? และบริษัทที่เราสมัครงานจะขอดู DNA ของเราก่อนตัดสินใจรับเราเข้าทำงานหรือไม่?
ปัญหาเหล่านี้จะดูเล็กไปทันทีเมื่อเทียบกับโปรเจ็ค Gilgamesh ที่ต้องการนำความหนุ่มสาวนิรันดร์มาสู่มนุษย์ รวมถึงการสร้างยอดมนุษย์หรือ superhuman ที่ฉลาดกว่าและแข็งแรงกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายเท่า
ในช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมามนุษย์เรียกร้องสังคมที่เท่าเทียมกันมาโดยตลอด ซึ่งดูเหมือนเราจะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนี้เราอาจกำลังก้าวสู่สังคมที่เหลื่อมล้ำมากกว่ายุคใดๆ ที่ผ่านมา
สมัยก่อนคนรวยมักจะหลอกตัวเองว่าทายาทของตนนั้นเลอเลิศกว่าทายาทของคนจน ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วลูกของชาวนานั้นก็มีโอกาสที่จะฉลาดได้เท่ากับลูกของพระราชา แต่ในอนาตตอันใกล้นี้ คนรวยที่เข้าถึงเทคโนโลยีจะสามารถให้กำเนิดเด็กที่ฉลาดกว่า หน้าตาดีกว่า และแข็งแรงกว่าอย่างที่ลูกชาวนาไม่มีทางเทียบติด
นี่ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ นิยายวิทยาศาสตร์ที่เราเคยอ่านจะเป็นภาพของมนุษย์ที่มีรูปร่าง หน้าตา ความคิดเหมือนเรานี่แหละ เพียงแต่มีเครื่องไม้เครื่องมือเท่ๆ เช่นยานอวกาศความเร็วแสงหรือปืนเลเซอร์
แต่โลกอนาคตที่เรากำลังมุ่งไปจริงๆ นั้นคือโลกที่เหล่า Homo Sapiens จะถูกดัดแปลงจนไม่อาจเรียกว่าเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป เพราะพวกเขาจะเป็นไซบอร์กที่ไม่แก่ ไม่มีเพศ ไม่ลืม ไม่โกรธและไม่เศร้า แต่จะมีอารมณ์และความรู้สึกที่มนุษย์อย่างเราๆ ไม่อาจจินตนาการถึงได้
นักฟิสิกส์เรียก Big Bang ที่เป็นจุดกำเนิดจักรวาลว่า Singularity หรือเอกภาวะ มันเป็นจุดที่กฎต่างๆ ในธรรมชาติยังไม่ปรากฎซึ่งรวมถึงเวลาด้วย การถามว่า “ก่อน” จะมี Big Bang นั้นมีอะไรจึงเป็นคำถามที่ไร้ความหมาย
มนุษยชาติอาจกำลังมุ่งสู่ Singularity ครั้งใหม่ ณ จุดที่สมองและตัวตนของมนุษย์ทุกคนเชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียว คอนเซ็ปต์ต่างๆ ที่เราใช้อธิบายสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น “ตัวผม” หรือ “ตัวคุณ” “ผู้หญิง” หรือ “ผู้ชาย” “รัก” หรือ “เกลียด” จะไม่มีความหมายอีกต่อไป
เมื่อมนุษย์กลายเป็นพระเจ้า เมื่อ 70,000 ปีที่แล้ว Homo Sapiens เป็นเพียงเผ่าพันธุ์เล็กๆ เผ่าพันธุ์หนึ่งที่อยู่ไปวันๆ ในทวีปแอฟริกา
แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นาน เผ่าพันธุ์นี้ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ครองโลก
เราสร้างเมือง สร้างอาณาจักรและทำการค้าขายไปทั่วโลก แต่เราได้ทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นหรือเปล่า?
ความเป็นอยู่ของมนุษย์อาจดีกว่าแต่ก่อนก็จริง เพราะการอดตายและสงครามลดลง และโรคภัยหลายหลากก็มีหนทางรักษา แต่สัตว์จำนวนมหาศาลยังถูกเบียดเบียนและถูกทารุณอย่างที่บรรพบุรุษของมันไม่เคยเจอมาก่อน
ที่สำคัญ แม้ว่าเราจะมีความสามารถมากกว่าเดิมหลายเท่า แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าเราต้องการอะไรกันแน่
เรามีพลังและอำนาจมากกว่ายุคใดแต่เราก็ไม่รู้ว่าจะเอาพลังนั้นไปทำอะไร
เราได้สถาปนาตัวเองเป็นพระเจ้าที่ไม่ต้องเกรงใจใครหรือเคารพอะไรเลย
เราจึงเบียดเบียนสรรพสัตว์เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำราญและความสะดวกสบายแต่เราก็ไม่เคยพอใจจริงๆ เสียที
จะมีสิ่งใดที่อันตรายไปกว่าพระเจ้าขี้หงุดหงิดที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร?
ที่มาบทความ :https://anontawong.com