ตอนที่ 12 – ศาสนาไร้พระเจ้า
Last updated
Last updated
ตอนที่แล้วเราพูดถึงศาสนาที่มีพระเจ้าไปแล้ว วันนี้เราจะมาคุยถึงศาสนาที่ไม่ได้มีพระเจ้าเป็นจุดศูนย์กลางนะครับ
ศาสนาที่อ้างอิงกฎธรรมชาติ ในช่วงคริสตศตวรรษแรก ศาสนากลุ่มใหม่ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับพระเจ้าเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นเชนและพุทธในอินเดีย เต๋าและขงจื้อในจีน และสโตอิคในแถบทะเลเมดิเตอเรเนียน
ศาสนากลุ่มนี้เชื่อว่ากฎระเบียบที่อยู่เหนือมนุษย์ขึ้นไปนั้น (superhuman order) ไม่ได้เกิดจากความต้องการของเทพเจ้า แต่ถูกกำหนดโดยกฎของธรรมชาติ บางศาสนาเชื่อว่าเทพนั้นมีอยู่ แต่เทพเหล่านี้ก็ตกอยู่ใต้กฎธรรมชาติไม่ต่างกับมนุษย์หรือสัตว์อื่นๆ
ศาสนาที่สำคัญที่สุดในกลุ่มนี้คือศาสนาพุทธ
ตัวเอกของศาสนานี้ไม่ใช่เทพเจ้า แต่เป็นมนุษย์คนหนึ่งนามสิทธัตถะ โคตมะ ซึ่งเป็นเจ้าชายของแคว้นเล็กๆ แคว้นหนึ่งในแถบเทือกเขาหิมาลัย ในช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาล
สิทธัตถะเห็นว่ามนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ไม่ว่าจะชายหรือหญิง เด็กหรือชรา ล้วนแล้วแต่ต้องเจอความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ต่อให้เขามีเงิน อำนาจ มีความรู้ มีลูก มีบ้าน หรือมีวัง พวกเขาก็ยังไม่เคยพอใจอยู่ดี คนจนอยากรวย คนมีเงินล้านอยากมีสองล้าน คนมีสองล้านอยากมีสิบล้าน ทุกๆ คนต่างก็โดนความกังวลตามหลอกหลอนจนถึงวันสุดท้าย ชีวิตนี้เป็นเหมือนการถีบจักรที่ไร้ความหมาย แต่เราจะออกจากวงจรนี้ได้อย่างไร?
หลังจากเรียนกับกูรูและลองผิดลองถูกอยู่นานถึง 6 ปี สิทธัตถะก็เข้าใจว่าความทุกข์ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ร้ายๆ ความอยุติธรรม หรือการลงโทษจากเทพเจ้า แต่เกิดจากความเคยชินในการทำงานของจิตต่างหาก (behaviour patterns of one’s own mind)
สิ่งที่สิทธัตถะค้นพบก็คือไม่ว่าจิตใจจะประสบกับอะไรก็ตาม มันก็มักจะมีปฏิกิริยาเป็นความอยาก (craving) ถ้าจิตรู้สึกไม่ดี มันก็อยากจะให้ความรู้สึกนั้นจบไปไวๆ ถ้าจิตได้ประสบกับความรู้สึกดีๆ มันก็จะอยากให้ความรู้สึกนั้นอยู่ไปนานๆ
แม้ว่าเทพเจ้าจะส่งฝนมาให้ได้ และโชคชะตาอาจนำพาชื่อเสียงเงินทองมาให้ได้ แต่ไม่มีใครมาเปลี่ยนวิธีการทำงานของจิตของเราได้ ดังนั้นแม้แต่จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ก็ยังมีชีวิตที่คลอเคลียกับความทุกข์และความกังวลและเฝ้าแต่ตามหาความสุขอยู่ร่ำไป
สิทธัตถะพบว่า คนเราสามารถออกจากวงจรนี้ได้ นั่นคือ เมื่อใดก็ตามที่จิตใจประสบกับอะไร แต่ถ้าเราสามารถมองสิ่งนั้นอย่างที่มันเป็น ความทุกข์ก็จะไม่เกิด ถ้าเรากำลังเจอความเศร้าแต่เราไม่ได้ปรารถนาให้ความเศร้านั้นหมดไปเราก็จะไม่ทุกข์ หรือถ้าเรากำลังรู้สึกมีความสุขแต่เราไม่ได้ปรารถนาให้ความสุขอยู่ต่อไปเรื่อยๆ เราก็จะสามารถดื่มด่ำกับความสุขได้โดยไม่สูญเสียความสงบในจิตใจ
แล้วเราจะฝึกซ้อมจิตใจให้ยอมรับทุกอย่างอย่างที่มันเป็นได้อย่างไร? สิทธัตถะได้พัฒนาเทคนิคการทำสมาธิที่จะฝึกให้จิตใจตั้งมั่นอยู่กับคำถามที่ว่า “ตอนนี้เรากำลังประสบกับสภาวะอะไรอยู่?” แทนที่จะสนว่า “ตอนนี้เราอยากประสบกับสภาวะใด?” (‘What am I experiencing now?’ rather than ‘What would I rather be experiencing?’)
ผู้ที่ฝึกฝนจะต้องประพฤติตนให้อยู่ในศีล 5 เพื่อให้การดับไฟแห่งความปรารถนาหรือกิเลสนี้ง่ายขึ้น เมื่อไฟราคะถูกดับมันก็จะถูกแทนที่ด้วยสภาวะแห่งความพอใจอันสมบูรณ์ที่มีชื่อว่านิพพาน คนที่ถึงนิพพานจะรับรู้สภาวะต่างๆ อย่างชัดเจนโดยปราศจากจินตนาการหรือการปรุงแต่ง และแม้ว่าเขาจะเจอสถานการณ์เลวร้ายหรือคววามเจ็บปวดใดๆ เขาก็จะไม่ทุกข์ใจอีก เพราะคนที่ไร้ซึ่งความต้องการย่อมไม่สามารถเป็นทุกข์ได้อีกแล้ว
กฎของสิทธัตถะสามารถสรุปสั้นๆ ได้ว่า ความทุกข์เกิดจากความอยาก วิธีเดียวที่จะหยุดความทุกข์ได้ก็คือต้องหยุดอยาก และวิธีเดียวที่จะหลุดพ้นจากความอยากได้ก็คือการฝึกฝนจิตใจให้เห็นสภาวะต่างๆ อย่างที่มันเป็น
ในศาสนาที่นับถือพระเจ้า คำถามสำคัญคือ “พระเจ้านั้นมีอยู่ ท่านต้องการอะไรจากเรา?”
ส่วนในศาสนาพุทธ คำถามสำคัญคือ “ความทุกข์นั้นมีอยู่ เราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร?”
คอมมิวนิสต์ก็เป็นศาสนา? ในช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมาเราได้เห็นการเติบใหญ่ของศาสนาใหม่ๆ ที่อ้างอิงถึงกฎทางธรรมชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสรีนิยม สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ ชาตินิยม ทุนนิยม หรือนาซี
หลายคนอาจจะบอกว่านี่ไม่ใช่ศาสนาซักหน่อย น่าจะเรียกว่า Ideologies หรือคตินิยมมากกว่า แต่ถ้าเรานิยามศาสนาว่ามันคือสิ่งที่กำหนดบรรทัดฐานทางศีลธรรมโดยตั้งอยู่บนความเชื่อในเรื่องระเบียบเหนือมนุษย์ (a system of human norms and values that is founded on belief in a superhuman order) ระบอบคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียตก็มีความเป็นศาสนาพอๆ กับอิสลาม
คอมมิวนิสต์เชื่อในกฎสากลที่เป็นกำหนดความเป็นไปในโลกนี้คล้ายกับชาวพุทธ ชาวพุทธเชื่อว่าเจ้าชายสิทธัตถะเป็นค้นพบกฎนั้น ขณะที่ชาวคอมมิวนิสต์เชื่อว่ากฎของพวกเขาถูกค้นพบโดยคาร์ล มาร์กซ์, ฟรีดริช เองเกลส์ และวลาดิเมียร์ เลนิน
ชาวมุสลิมมีอัลกุรอ่าน ชาวคอมมิวนิสต์ก็มี Das Kapital ที่เขียนโดยคาร์ล มาร์กซ์ ชาวพุทธมีวันหยุดทางศาสนา ชาวคอมมิวนิสต์ก็มีวันแรงงาน และวันรำลึกการปฏิวัติสังคมนิยมใหญ่เดือนตุลาคม (October Revolution) คนที่เคร่งคอมมิวนิสต์ไม่สามารถนับถือศาสนาอื่นได้ และถูกคาดหวังให้เผยแพร่คำสอนของมาร์กซ์และเลนินแม้จะต้องแลกด้วยชีวิต
ผู้เขียนบอกว่าถ้าไม่สบายใจที่จะเรียกคอมมิวนิสต์ว่าศาสนา จะเรียกมันว่าคตินิยมก็ไม่เป็นไร แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงแค่การเล่นคำ โดยเนื้อแท้แล้วมันก็ยังทำหน้าที่เหมือนศาสนาอยู่ดี
ศาสนามนุษยนิยม ศาสนาที่เราคุ้นเคยนั้นจะเน้นไปที่การบูชาพระเจ้า แต่ก็มีศาสนาอีกกลุ่มหนึ่งที่บูชาความเป็น Homo Sapiens โดยมองว่ามนุษย์นั้นมีธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากสัตว์อื่นๆ ในโลกนี้
ผู้เขียนพูดถึงมนุษยนิยมสามจำพวก (จริงๆ มีมากกว่านั้น)
กลุ่มแรกคือ liberal humanism (เสรีนิยม) ที่เชื่อว่ามโนธรรมและศีลธรรมถูกกำหนดโดยเสียงที่อยู่ในใจของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว และมนุษย์แต่ละคนมีสิทธิ์ที่ใครก็ไม่อาจจะมาล่วงเกินได้ สิทธิ์ที่ว่านี้ก็คือสิ่งที่เราเรียกกันว่า สิทธิมนุษยชน หรือ human rights นั่นเอง
ส่วนกลุ่มที่สองเชื่อว่าความดีสูงสุดไม่ใช่การปกป้องสิทธิส่วนบุคคล แต่เป็นการดูแลประโยชน์สุขของ Homo Sapiens ทั้งผอง กลุ่มนี้มีชื่อเรียกว่า socialist humanism หรือสังคมนิยม
ในขณะที่กลุ่มเสรีนิยมเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของแต่ละบุคคล กลุ่มสังคมนิยมกลับเรียกร้องความเท่าเทียมกันของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม
ทั้ง liberal และ socialist ต่างก็มีพื้นฐานความเชื่ออยู่บนศาสนาคริสต์ที่มองว่าพระเจ้านั้นมองทุกดวงวิญญาณเท่าเทียมกันหมด
แต่ก็มีมนุษยนิยมอีกจำพวกหนึ่งที่ไม่ได้มองอย่างนั้น นั่นคือกลุ่มนาซี
กระบวนทัศน์ของนาซีตั้งอยู่บนความคิดเชิงวิวัฒนาการของดาร์วิน ที่ไม่ได้มองว่ามนุษยชาติเป็นสิ่งที่เป็นสากลและเป็นนิรันดร์ แต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่กลายพันธุ์ได้ วิวัฒนาการได้ และเสื่อมลงได้
มนุษย์บางสายพันธุ์จึงอาจจะพัฒนาจนกลายเป็น superhuman ขณะที่มนุษย์บางสายพันธุ์จะเสื่อมโทรมลงไปเป็น subhuman หรือสิ่งมีชีวิตที่ต่ำกว่ามนุษย์
นาซีมองว่าชาวอารยันนั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีวิวัฒนาการสูงสุดและจำเป็นต้องได้รับการปกป้อง ในขณะที่ชาวยิว ชาวโรม เกย์ และคนที่ป่วยทางจิตนั้นจะต้องถูกกักขังหรือแม้กระทั่งโดนกวาดล้าง
Homo Sapiens ทำให้ Neanderthals สูญพันธุ์ฉันใด ชาวอารยันก็เหมือน Sapiens ส่วนชาวยิวก็เป็นเหมือน Neanderthals ฉันนั้น มันเป็น survial of the fittest – คนอ่อนแอก็ต้องแพ้ไปเท่านั้นเอง
ชาวนาซีไม่ได้เกลียดมนุษยชาติ พวกเขาสู้กับพวกเสรีนิยมและคอมมิวนิสต์เพราะเชื่อว่ามนุษย์มีศักยภาพมากมาย แต่เมื่อมองผ่านเลนส์ของวิวัฒนาการแบบดาร์วินแล้ว นาซีเชื่อว่าการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (natural selection) ควรได้ทำหน้าที่ของมันเพื่อกำจัดคนอ่อนแอทิ้งและเหลือไว้แต่คนที่แข็งแกร่งเพื่อสืบทอดพันธุกรรม การที่คอมมิวนิสต์และพวกเสรีนิยมช่วยเหลือหรือปกป้องคนอ่อนแอเท่ากับเป็นการแทรกแซงกระบวนการ natural selection นี้ ทำให้คนอ่อนแอได้อยู่ต่อและสืบพันธุ์ไปเรื่อยๆ จนคนที่แข็งแกร่งเหลือสัดส่วนน้อยลง และสุดท้ายมนุษยชาติก็จะเสื่อมลงและสูญพันธุ์ในที่สุด
ในช่วงหลายสิบปีหลังฮิตเลอร์พ่ายแพ้สงคราม การเชื่อมโยงมนุษยนิยมกับวิวัฒนาการได้กลายเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ตอนนี้มันกำลังกลับมาอินเทรนด์อีกครั้ง แม้ไม่มีใครคิดจะสังหารเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอกว่าอีกแล้ว แต่หลายคนเริ่มฝันหวานกับการนำเทคโนโลยีมา “อัพเกรด” มนุษย์ให้กลายเป็น superhumans ในอนาคตอันใกล้นี้
ที่มาบทความ :https://anontawong.com