ตอนที่ 2 – สิ่งที่ทำให้เราครองโลก
Last updated
Last updated
การปฏิวัติสำคัญของมนุษยชาติ (Homo Sapiens)
70,000 ปีก่อน – Cognitive Revolution การปฏิวัติด้านกระบวนการคิด
12,000 ปีก่อน – Agricultural Revolution การปฏิวัติเกษตรกรรม
500 ปีก่อน – Scientific Revolution การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
200 ปีก่อน – Industrial Revolution การปฏิวัติอุตสาหกรรม
เมื่อ 70,000 ปีที่แล้ว เผ่าพันธุ์ Homo Sapiens เริ่มออกเดินทางจากแอฟริกาตะวันออก ไปยังทวีปยุโรปและเอเชียซึ่งมีนีแอนเดอธาลและโฮโมอิเร็คตัสอาศัยอยู่ก่อนแล้ว และช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเกิด Cognitive Revolution ในมันสมองของมนุษย์เซเปี้ยน ไม่มีใครตอบได้ว่า Cognitive Revolution เกิดเพราะอะไร รู้แต่เพียงว่าช่วง 70,000 ถึง 30,000 ปีที่แล้ว คือช่วงที่มนุษย์คิดค้นเรือ ตะเกียงน้ำมัน ธนู ลูกศร และเข็มเย็บผ้า รวมถึงก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
สิ่งหนึ่งที่ Cognitive Revolution มอบให้ ก็คือความสามารถในการใช้ภาษาของมนุษย์ จริง ๆ แล้วภาษาไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะสัตว์อื่นๆ ก็สามารถสื่อสารกันด้วยภาษาง่ายๆ ได้ เช่นผึ้งหรือมดก็มีการสื่อสารที่จะบอกว่าแหล่งอาหารอยู่ตรงไหน และมนุษย์ก็ไม่ใช่เผ่าพันธุ์แรกที่มีภาษาแบบที่ใช้เสียง (vocal language) เพราะลิงก็มีภาษาของมัน เสียงร้องแบบหนึ่งจะ หมายความว่า “ระวังเหยี่ยว!” ส่วนเสียงร้องอีกแบบหนึ่งจะแปลว่า “ระวังสิงโต!”
นักวิทยาศาสตร์เคยอัดเสียงร้องทั้งสองแบบ แล้วเอาไปเปิดให้ลิงฝูงหนึ่งฟัง พอลิงได้ฟังเสียงแรก มันจะมองขึ้นท้องฟ้าด้วยความกลัว พอเปิดเสียงที่สอง มันจะกรูไปปีนขึ้นต้นไม้ แล้วภาษามนุษย์ยอดเยี่ยมกว่าภาษาของสัตว์อื่นยังไง?
หนึ่ง – ภาษาของเรานั้นยืดหยุ่นมาก เราสามารถใช้เสียงไม่กี่เสียงมาผสมกันเพื่อสร้างคำ ประโยค และความหมายได้อย่างไม่จำกัด ในขณะที่ลิงเตือนพูดได้แค่ “ระวังสิงโต!” แต่มนุษย์เราสามารถเล่าได้ว่า “เมื่อเช้านี้ ตรงแถวๆ ริมแม่น้ำ มีสิงโตตัวหนึ่งกำลังไล่ตามฝูงวัวกระทิงอยู่”
สอง – นอกจากจะพูดถึงสิ่งอื่นได้แล้ว มนุษย์ยังใช้ภาษาเพื่อเอาไว้ซุบซิบนินทากันเองด้วย (gossip) ฟังดูเป็นเรื่องไร้สาระ แต่จริงๆ แล้วนี่เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมนุษย์นั้นต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเพื่อล่าอาหารและสืบพันธุ์ ดังนั้นสิงโตอยู่ที่ไหนจึงไม่สำคัญเท่ากับว่า ในเผ่าของเรา ใครเกลียดขี้หน้าใคร ใครกำลังกุ๊กกิ๊กกับใคร ใครเชื่อถือได้ และใครขี้โกหก
สาม – และเป็นข้อที่สำคัญที่สุด – คือภาษาของมนุษย์นั้นสามารถพูดถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงได้ด้วย มนุษย์ Homo Sapiens เป็นเพียงเผ่าพันธุ์เดียวที่สามารถนึกคิด ถ่ายทอด และเชื่อในสิ่งที่เป็นนามธรรม สัตว์หรือ Homo เผ่าพันธุ์อื่นพูดอาจพูดคำว่า “ระวังสิงโต!” ได้ แต่มีเพียง Homo Sapiens เท่านั้นที่จะพูดว่า “สิงโตคือจิตวิญญาณผู้ปกป้องเผ่าของเรา”
ความสามารถในการสื่อสารเรื่องที่แต่งขึ้นเอง (fiction) หรือความจริงสมมติ (imagined reality) คือคุณลักษณะพิเศษที่สุดของ Homo Sapiens สัตว์อื่นๆ ไม่มีความสามารถในการคิดถึงหรือเชื่อเรื่องที่จับต้องไม่ได้ เราไม่มีทางจะโน้มน้าวให้ลิงตัวไหนเชื่อได้เลยว่า ขอเพียงเจ้าเอากล้วยหอมให้เราหนึ่งลูกตอนนี้ พอเจ้าตายไป เจ้าจะได้ขึ้นสวรรค์ที่เต็มไปด้วยลิงสวยๆ และมีกล้วยนับล้านหวีให้กินตลอดไป แต่เราพูดสิ่งนี้กับมนุษย์ได้ และมนุษย์นับล้านคนก็พร้อมที่จะเชื่อเสียด้วย แล้วการที่มนุษย์สามารถสื่อสารและเชื่อ “เรื่องที่แต่งขึ้น” มันทำให้เราครองโลกได้อย่างไร
สังเกตได้ว่า สัตว์ที่อยู่กันเป็นฝูงอย่างลิงนั้น ขนาดของฝูงมักจะไม่ใหญ่นัก เพราะการที่สัตว์กลุ่มหนึ่งจะอยู่ด้วยกันและร่วมมือกันออกหาอาหารได้นั้น สัตว์ทุกตัวในฝูงต้องรู้จักและคุ้นเคยกันพอสมควร ถ้าขนาดของฝูงใหญ่เกินไป ความวุ่นวายจะตามมา และสัตว์กลุ่มหนึ่งจะออกจากฝูงไปเพื่อไปตั้งกลุ่มใหม่
เหล่า Homo Sapiens รุ่นก่อนเก่าอาจจะตั้งกลุ่มได้ใหญ่กว่าลิงนิดหน่อย เพราะเรามีภาษาที่เอาไว้ซุบซิบเพื่อรับรู้ข้อมูลของคนอื่นๆ ในฝูงได้ แต่ขนาดของกลุ่มก็ยังมีขีดจำกัดอยู่ดี โดยตัวเลขที่นักวิทยาศาสตร์เห็นตรงกันก็คือ 150 คน ถ้ากลุ่มขยายขนาดใหญ่กว่านี้จะเริ่มอยู่ด้วยกันลำบากแล้ว (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ [Dunbar’s Number](https://en.wikipedia.org/wiki/Dunbar's_number))
แล้วเหตุใด Homo Sapiens ถึงสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของขนาด 150 คน และสร้างเมือง ประเทศ หรืออาณาจักรที่มีคนนับแสนนับล้านได้?
คำตอบก็คือ Sapiens เราเชื่อใน common myths ครับ
common = โดยทั่วไป
myths = ตำนาน หรือนิทานปรัมปรา
common myths = นิทานที่ทุกคนยึดถือโดยทั่วกัน
ตำนาน เทพเจ้า ศาสนา เงินตรา ล้วนแล้วแต่เป็น common myths
common myths ก่อให้เกิดการร่วมมือกันของคนแปลกหน้าอย่างที่ไม่เคยมีเผ่าพันธุ์ใดทำได้มาก่อน
ชาวแคธอลิกที่ไม่เคยรู้จักกันเลยอาจพร้อมใจบริจาคเงินสร้างโรงพยาบาล เพราะพวกเขาต่างก็เชื่อเรื่องบุตรของพระเจ้าที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์และยอมสละชีพเพื่อไถ่บาปให้แก่เราทุกคน
ชาวเซอร์เบียสองคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนพร้อมจะออกรบและพลีชีพเพื่อธำรงค์ไว้ซึ่ง “แผ่นดินเซอร์เบีย” และ “ชนชาติเซอร์เบีย”
ทนายความสองคนที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนอาจจะร่วมมือกันเพื่อว่าความให้กับจำเลยที่เขาไม่รู้จัก เพราะพวกเขาต่างเชื่อเรื่อง “ความยุติธรรม” และ “สิทธิมนุษยชน”
แต่ common myths ต่างๆ เหล่านี้เป็นเพียง “ความจริงสมมติ” ที่มีอยู่แค่ในจินตนาการร่วมของพวกเราเหล่า Homo Sapiens เท่านั้น ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงทางกายภาพเลย ความสามารถที่จะเชื่อเรื่องราวที่แต่งขึ้นนี่เอง ที่ทำให้ Homo Sapiens เหนือกว่า Homo ตระกูลอื่น ๆ ถ้าต้องสู้กันแบบตัวต่อตัว Homo Sapien คงไม่อาจสู้กับ Neanderthal ได้ เพราะนีแอนเดอธาลนั้นตัวใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่า แต่ถ้าต้องปะทะกันเป็นกลุ่ม เผ่าเซเปี้ยนจะเหนือกว่าเผ่านีแอนเดอธาลอยู่หลายขุม เพราะแม้นีแอนเดอธาลอาจจะสื่อสารได้ว่าสิงโตอยู่ที่ไหน แต่นีแอนเดอธาลไม่สามารถเล่าเรื่องราวของจิตวิญญาณของสิงโตที่ปกป้องและคุ้มครองเผ่าของตนได้ ความเชื่อมั่นใน common myths นี่เองทำให้เซเปี้ยนสามารถรวมกลุ่มกันได้ใหญ่กว่า และมีความร่วมแรงร่วมใจมากกว่าจนอยู่เหนือ Homo สายพันธุ์อื่น
บริษัทเปอร์โยต์ เป็นองค์กรสัญชาติฝรั่งเศสที่มีพนักงาน 200,000 คน ผลิตรถปีละกว่า 1 ล้าน 5 แสนคัน แต่อะไรคือบริษัทเปอร์โยต์?
รถเปอร์โยต์ไม่ใช่บริษัท เพราะต่อให้เอารถยี่ห้อทุกคันมาทุบทิ้ง บริษัทเปอร์โยต์ก็ยังอยู่และผลิตรถใหม่ได้ โรงงานก็ไม่ใช่บริษัทเปอร์โยต์ เพราะต่อให้โรงงานทุกที่ถูกทำลาย บริษัทก็ยังกู้เงินมาสร้างโรงงานใหม่ได้ พนักงานก็ไม่ใช่บริษัทเปอร์โยต์ เพราะต่อให้ CEO หรือพนักงานทุกคนตายไป ตัวบริษัทเองก็ยังอยู่และรับพนักงานใหม่ได้จริงๆ แล้ว วิธีเดียวที่จะทำลายบริษัทเปอร์โยต์ได้ คือต้องให้ศาลฝรั่งเศสประกาศความสิ้นสุดของบริษัทเปอร์โยต์ และเมื่อผู้มีอำนาจจรดปากกาเพื่อเซ็นต์ลายเซ็นต์ตัวเองบนกระดาษหนึ่งแผ่น ความเป็น “บริษัทเปอร์โยต์” ก็สิ้นสุดลง บริษัทเปอร์โยต์จึงเป็นเพียง “นิทาน” ชนิดหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า “บริษัทจำกัด” (Limited Liability Company) ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางความคิดที่ชาญฉลาดที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์เซเปี้ยน
ถ้าผมเกิดในปี ค.ศ.1250 (ก่อนจะมีคอนเซ็ปต์บริษัทจำกัด) และทำธุรกิจผลิตรถเกวียน หากลูกค้าซื้อรถเกวียนไปใช้ได้ครั้งเดียวแล้วพัง ลูกค้าจะต้องมาฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผม และถ้าผมมีเงินไม่พอ ผมต้องขายบ้านขายทรัพย์สินเพื่อหาเงินมาชดใช้ เมื่อเจ้าของคือบริษัท และบริษัทคือเจ้าของ คนส่วนใหญ่จึงไม่กล้าทำธุรกิจ เพราะถ้าพลาดขึ้นมานั่นหมายความว่าครอบครัวของตัวเองจะซวยไปด้วย มนุษย์เราจึงร่วมกันจินตนาการสิ่งที่เรียกว่า “บริษัทจำกัด” ขึ้นมา
บริษัทเป็น “นิติบุคคล” (ตัวตนทางกฎหมาย) ที่แยกออกมาจากเจ้าของหรือนักลงทุนโดยสิ้นเเชิง นายอาร์มอง เปอร์โยต์ (Armand Peugeot) คือผู้ก่อตั้งบริษัทเปอร์โยต์ ถ้ารถยนต์เปอร์โยต์พัง ลูกค้าสามารถฟ้องร้องบริษัทเปอร์โยต์ได้ แต่ฟ้องร้องนายเปอร์โยต์ไม่ได้ ถ้าบริษัทเปอร์โยต์กู้เงินจากแบงค์มาแล้วบริษัทเจ๊ง แบงค์ก็ไม่สามารถบังคับให้นายเปอร์โยต์ขายทรัพย์สินของตัวเองได้ เพราะคนที่ติดหนี้แบงค์คือบริษัทเปอร์โยต์ ไม่ใช่นายเปอร์โยต์ และแม้นายเปอร์โยต์จะตายไปนานแล้ว แต่บริษัทเปอร์โยต์ก็ยังสุขสบายดี ในช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมา “บริษัทจำกัด” คือตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก และเราก็คุ้นเคยกับมันเสียจนเราลืมไปเลยว่าบริษัทเหล่านี้เป็นเพียง “ความจริงสมมติ” ที่มีอยู่แค่ใน “จินตนาการร่วม” ของมนุษย์เท่านั้น
นอกจาก Homo Sapiens แล้ว สัตว์ทุกชนิดจะมีพฤติกรรมเหมือนเดิมจนกว่าจะถูกบังคับให้ปรับตัวเพราะความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ ที่เราเรียกว่าการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม (genetic mutation) เมื่อ 2 ล้านปีที่แล้ว เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของจนเกิดเผ่าพันธุ์ Homo erectus ขึ้นมา โดยเผ่าพันธุ์นี้เป็นเผ่าพันธุ์ที่คิดค้นเครื่องมือที่ทำจากหิน (เราถึงเรียก Homo erectus ว่าคนยุคหิน) แต่เพราะว่าหลังจากนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมใน Homo erectus อีกเลย พวกเขาจึงใช้เครื่องมือหินแบบเดิมอยู่ถึง 2 ล้านปี!
ในขณะที่ Homo Sapiens นั้นสามารถจินตนาการและเชื่อเรื่องที่แต่งขึ้นเองได้ เราจึงเปลี่ยนพฤติกรรมได้โดยไม่ต้องหวังพึ่งการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมอีกต่อไป เป็นเวลาสองล้านปีที่ Homo erectus ใช้ชีวิตเหมือนเดิมทุกวัน แต่ในเวลาแค่สามหมื่นปี Homo Sapiens เปลี่ยนแปลงเครื่องมือมาไม่รู้กี่ครั้ง เปลี่ยนการปกครองมาไม่รู้กี่หน
เมื่อสามหมื่นปีก่อน อาวุธที่ดีที่สุดที่เซเปี้ยนคนหนึ่งจะสร้างได้คือธนูและลูกศร มาสมัยนี้ เราสามารถสร้างอาวุธอย่างระเบิดนิวเคลียร์ ไม่ใช่เพราะว่ามือของเราทำงานได้ดีกว่านายช่างเซเปี้ยนเมื่อสามหมื่นปีก่อน แต่เป็นเพราะว่าเราสามารถร่วมมือกับคนหลายพันคนที่เราไม่เคยเห็นหน้า ไม่ว่าจะเป็นคนขุดแร่ยูเรเนียม นักฟิสิกส์ที่คิดสูตรระเบิด หรือนักการเมืองที่ยกมือในสภาเพื่ออนุมัติการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ Common Myths ที่เชื่อมโยงจินตนาการของมนุษยชาติไว้ด้วยกันจึงเป็นเหมือน “ทางด่วนของวิวัฒนาการ” ที่ทำให้เผ่าพันธุ์ Homo Sapiens พัฒนาอย่างก้าวกระโดดและอยู่เหนือทุกเผ่าพันธุ์บนโลกใบนี้
ที่มา: https://anontawong.com.