📒
Knowledge-Base
  • Knowledge Base
  • Tutorials
    • Python
      • Introduction
      • Important basic syntax
      • Awesome Python
      • Python 101
      • Python Cheat sheet
      • โครงสร้างของภาษา
      • Library & Package
      • Variable & Data Types
      • Lists
      • Dictionary
      • Function
      • Built-in Function
        • enumerate()
      • Modules
      • Classes & Objects
      • Inheritance
      • Date & Time
      • การใช้งาน Virtualenv
    • Pandas
      • Learning Pandas Second Edition
        • 2. Running with pandas
        • 3. Data with the Series
        • 4. Create DataFrame
        • 5. Manipulating DataFrame Structure
  • e-Book
    • Tech
      • Automate the Boring Stuff
      • A Whirlwind Tour of Python
  • Innovation & Tech
    • Python
    • Pandas
      • 10 Pandas tips
    • Web Scraping
      • Web Scraping 101
      • Requests and BeautifulSoup
  • Industry
    • 20 แนวคิดขายของออนไลน์
    • แผนระยะยาวของ Toyota
    • โลกหลังยุคโลกาภิวัฒน์
  • Opinion
    • บรรยง พงษ์พานิช: กับดักรัฐราชการ 4.0
    • ปัญญาภิญโญ ณ Wongnai WeShare
    • ประเทศไทยในความคิด ความคิดในประเทศไทย
    • การสถาปนา ‘รัฐบรรษัทอำนาจนิยม’ ในสังคมไทย
  • People
    • “ความสำเร็จ ดีใจได้วันเดียว”
    • โซเชียลมีเดีย ในมุมมองของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก
  • Parent
    • ADULTIFICTION
    • ความฉลาดสร้างได้
    • การเรียนรู้ของลูกในวันนี้
    • CODING คืออะไร
    • สอน CODING อย่างไรให้ง่าย
    • 8 ข้อครูควรรู้ เมื่อจัดการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์
  • Lift
    • คุณรู้สึกว่า โลกทุกวันนี้หมุนเร็วและแคบลงหรือเปล่า?
    • ปัจจุบันเราต้องเผชิญกับความท้าทายอะไรบ้าง
    • กฎ 40% ของหน่วย SEAL
    • e-Book
      • Sapiens – A Brief History of Humankind
        • [สรุป] โฮโม เซเปียนส์ สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่
        • ตอนที่ 1- กำเนิด Homo Sapiens
        • ตอนที่ 2 – สิ่งที่ทำให้เราครองโลก
        • ตอนที่ 3 – ยุคแห่งการล่าสัตว์เก็บพืชผล
        • ตอนที่ 4 – การหลอกลวงครั้งยิ่งใหญ่
        • ตอนที่ 5 – คุกที่มองไม่เห็น
        • ตอนที่ 6 – กำเนิดภาษาเขียน
        • ตอนที่ 7 – ความเหลื่อมล้ำ
        • ตอนที่ 8 – โลกที่ถูกหลอมรวม
        • ตอนที่ 9 – มนตราของเงินตรา
        • ตอนที่ 10 – จักรวรรดิ
        • ตอนที่ 11 – บทบาทของศาสนา
        • ตอนที่ 12 – ศาสนาไร้พระเจ้า
        • ตอนที่ 13 – ยุคแห่งความไม่รู้
        • ตอนที่ 14 – 500 ปีแห่งความก้าวหน้า
        • ตอนที่ 15 – เมื่อยุโรปครองโลก
        • ตอนที่ 16 – สวัสดีทุนนิยม
        • ตอนที่ 17 – จานอลูมิเนียมของนโปเลียน
        • ตอนที่ 18 – ครอบครัวล่มสลาย
        • ตอนที่ 19 – สุขสมบ่มิสม
        • ตอนที่ 20 – อวสาน Sapiens
      • Homo Deus
        • [สรุปหนังสือ] Homo Deus
        • ตอนที่ 1: สามวาระใหม่แห่งอนาคต
        • ตอนที่ 2: คำสาปเรื่องดีอุส
        • ตอนที่ 3: เซเปียนส์ครองโลกได้อย่างไร
        • ตอนที่ 4: พลังของจิตวิสัยร่วม
        • ตอนที่ 5: ข้อตกลงเรื่องความทันสมัยกับเทวทัณฑ์
        • ตอนที่ 6: ปลายทางของการปฏิวัติมนุษย์นิยมคืออภิมนุษย์
        • ตอนที่ 7: ไม่มีทั้งเจตจำนงเสรีและวิญญาณในโลกของข้อมูลนิยม (dataism)
        • ตอนที่ 8: เซเปียนส์กลายเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ได้อย่างไร
        • ตอนที่ 9: มิจฉาทิฐิที่ร้ายแรงที่สุดในยุคขัอมูลนิยม (dataism)
        • ตอนที่ 10: พลังกุณฑาลินี คือเส้นทางสู่ด้านสว่างของ Homo Deus
        • ตอนที่ 11: ทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง​(Theory​ of​ Everything)​ของลัทธิข้อมูลนิยมกับ​วิถีแห่งตัวตน
        • ตอนที่ 12: เราต้องก้าวข้ามแต่หลอมรวมลัทธิข้อมูลนิยม
  • See Behind the FX rate
  • Obtaining Stock Prices
  • Monte Carlo Simulation in Finance Python Part-2
  • The Easiest Data Cleaning Method using Python & Pandas
  • How to use iloc and loc for Indexing and Slicing Pandas Dataframes
  • Converting HTML to a Jupyter Notebook
  • Top 50 Tips & Tricks
Powered by GitBook
On this page

Was this helpful?

  1. Lift
  2. e-Book
  3. Sapiens – A Brief History of Humankind

ตอนที่ 13 – ยุคแห่งความไม่รู้

Previousตอนที่ 12 – ศาสนาไร้พระเจ้าNextตอนที่ 14 – 500 ปีแห่งความก้าวหน้า

Last updated 5 years ago

Was this helpful?

enter image description here

ซีรี่ส์ ดำเนินมาได้เกินครึ่งทางแล้ว เลยขอวางหมุดหมายให้เห็นคร่าวๆ กันอีกครั้งนึงนะครับ

200,000 ปีที่แล้ว – Homo Sapiens ถือกำเนิดในแอฟริกาตะวันออก

70,000 ปีที่แล้ว – เกิด Cognitive Revolution ในหมู่ Sapiens จนสามารถใช้ภาษาและออกเดินทางจากแอฟริกาไปยังดินแดนอื่นๆ ทั่วโลก

12,000 ปีที่แล้ว – เกิดการปฏิวัติเกษตรกรรม (Agricultural Revolution) ทำให้คนที่เคยเข้าป่าล่าสัตว์เริ่มออกมาตั้งรกรากและขยายถิ่นที่อยู่จากหมู่บ้านเป็นเมือง จากเมืองเป็นอาณาจักร จากอาณาจักรเป็นจักรวรรดิ

2500 ปีที่แล้ว – กำเนิดศาสนาพุทธ

2000 ปีที่แล้ว – กำเนิดศาสนาคริสต์

1400 ปีที่แล้ว – กำเนิดศาสนาอิสลาม

500 ปีที่แล้ว – ปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Revolution) มนุษยชาติเริ่มยอมรับว่าตัวเองไม่รู้และได้มาซึ่งอำนาจที่ไม่เคยมีมาก่อน

200 ปีที่แล้ว – ปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ครอบครัวและชุมชนถูกแทนที่ด้วยรัฐและตลาด

หากชาวนาชาวสเปนคนหนึ่งหลับไปในปีค.ศ.1000 และตื่นขึ้นมา 500 ปีให้หลัง (ช่วงเดียวกับที่โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา) โลกอาจจะดูแตกต่างไปบ้างแต่เขาก็คงไม่รู้สึกแปลกแยกเสียทีเดียว แต่หากลูกเรือของโคลัมบัสหลับไหลในปี 1500 และตื่นขึ้นในปี 2000 สิ่งที่ลูกเรือคนนั้นพบเจออาจทำให้เขาคิดว่าตัวเองกำลังอยู่บนสวรรค์ – เอ…หรือว่าในนรกกันแน่?

500 ปีที่ผ่านมาเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย จำนวนประชากรโตขึ้น 14 เท่า (จาก 500 ล้านเป็น 7,000 ล้าน) ขณะที่พลังงานที่มนุษย์บริโภคเพิ่มขึ้น 115 เท่า และผลผลิตต่อคนเพิ่มขึ้นถึง 240 เท่า

ในปี 1500 (รวมถึง 4 พันล้านปีก่อนหน้านั้น) ไม่เคยมีมนุษย์หรือสัตว์ตัวไหนออกไปพ้นชั้นบรรยากาศโลก แต่วันที่ 20 กรกฎาคม 1969 มนุษย์ก็ได้ไปเหยียบดวงจันทร์

ก่อนหน้าปี 1674 เราไม่เคยรู้เลยว่ามีสิ่งมีชีวิตจำพวกหนึ่งที่มีจำนวนประชากรคิดเป็น 99.99% ของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ นั่นคือ microorganism หรือจุลินทรีย์และแบคทีเรียต่างๆ จนนักวิทยาศาสตร์ชาวดัทช์ค้นนึงได้ลองใช้จุลทรรศน์ที่เขาทำขึ้นเองส่งดูหยดน้ำ

และวินาทีประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในรอบ 500 ปีที่ผ่านมา คือเวลา 05:29:45 ของเช้าวันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 1945 เมื่อนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันจุดระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกในเมือง Alamogordo รัฐ New Mexico

นี่คือครั้งแรกที่มนุษย์ไม่เพียงมีพลังพอที่จะเปลี่ยนทิศทางของประวัติศาสตร์ แต่สามารถทำให้ประวัติศาสตร์สูญสิ้นได้ด้วยมือตนเอง

เมื่อเรายอมรับว่าเราไม่รู้

กระบวนการที่ช่วยให้เราสร้างระเบิดนิวเคลียร์และพาเราไปเหยียบดวงจันทร์คือการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 500 ปีที่แล้ว

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าช่วงก่อนคริสตศตวรรษที่ 15 นั้น มนุษย์ไม่ได้มีแรงผลักดันที่จะค้นคว้าหรือค้นพบอะไรใหม่ๆ เพราะมนุษย์เชื่อว่าคำตอบทั้งหมดนั้นอยู่ในคัมภีร์ต่างๆ อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคำสอนของพุทธ คริสต์ อิสลามหรือขงจื๊อต่างก็บอกว่าสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องรู้นั้นท่านได้บอกไว้หมดแล้ว

ศาสนาเก่าแก่นั้นยอมรับ “ความไม่รู้” (ignorance) อยู่แค่สองแบบ แบบแรกคือ “คนคนหนึ่งอาจจะไม่รู้สิ่งที่จำเป็นต้องรู้” เช่นหากชาวนาคนหนึ่งไม่รู้ว่ามนุษย์กำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร เขาเพียงแค่ต้องไปถามคนที่รู้อย่างนักบวชในโบสถ์ใกล้บ้านก็เพียงพอแล้ว

ความไม่รู้อีกแบบหนึ่งก็คือ “ไม่รู้เพราะไม่สำคัญ” เช่นในไบเบิ้ลอาจไม่ได้บอกว่าแมงมุมชักใยยังไง แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคำสอนของศาสนาคริสต์ไม่สมบูรณ์ แต่เป็นเพราะเรื่องการชักใยของแมงมุมไม่ใช่เรื่องสำคัญต่างหาก เพราะถ้าการชักใยแมงมุมมันสำคัญจริงพระเจ้าย่อมต้องพูดถึงในพระคัมภีร์อยู่แล้ว

นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มองความไม่รู้ต่างออกไป พวกเขามองว่า “พวกเรายังไม่รู้สิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้” (collective ignorance of the most important questions) ดาร์วินไม่เคยบอกว่าตัวเองรู้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องวิวัฒนาการทั้งหมด นักฟิสิกส์ก็ยอมรับว่ายังไม่รู้ว่า Big Bang เกิดขึ้นได้อย่างไร

โดยแท้จริงแล้ว Scientific Revolution คือ “การปฏิวัติของความไม่รู้” (revolution of ignorance) เมื่อมนุษย์ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้มีคำตอบสำหรับคำถามที่สำคัญ พวกเขาจึงเริ่มหิวกระหายที่จะค้นคว้าและออกค้นหาอีกครั้ง

ความรู้คืออำนาจ

ในปีค.ศ. 1620 Francis Bacon ตีพิมพ์แถลงการณ์ชื่่อวา The New Instrument โดยบอกว่าความรู้คืออำนาจ – Knowledge is Power

โดยนายเบคอนบอกว่า ความรู้นั้นจะมีประโยชน์หรือไม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามันถูกต้องแค่ไหน แต่มันมีประโยชน์แค่ไหนต่างหาก (เพราะไม่มีชุดความรู้ใดที่จะถูกต้อง 100% อยู่แล้ว)

เราคุ้นเคยกับคำว่า วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี มานานจนเรานึกว่าสองอย่างนี้ต้องเกิดขึ้นพร้อมกันเสมอ แต่จริงๆ แล้วนายเบคอนนี่แหละที่เป็นคนแรกๆ ที่เอาคอนเซปต์สองอย่างนี้เชื่อมโยงกัน คือเมื่อคุณได้ความรู้ชุดใหม่จากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คุณก็สามารถนำมันมาพัฒนาเทคโนโลยีอันจะนำมาซึ่งพลังและอำนาจได้

ในช่วงก่อนปี 1500 นั้น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นคนละเรื่องกันเลย ผู้นำแคว้นต่างๆ อาจจะสนับสนุนสถาบันการศึกษาเพื่อจะช่วยเผยแพร่ความรู้ดั้งเดิม ไม่ใช่เพื่อค้นพบความรู้ชุดใหม่ ส่วนเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ๆ ก็ไม่ได้เกิดจากการค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์แต่เกิดจากบรรดานายช่างที่ไม่เคยไปโรงเรียนด้วยซ้ำ

สงครามและเทคโนโลยี

หนึ่งในเหตุผลที่วิทยาศาสตร์นำมาซึ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคือสงครามโลก ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง รัฐบาลได้สั่งให้นักวิทยาศาสตร์คิดค้นอาวุธใหม่ๆ และผลลัพธ์ที่ได้คือเครื่องบินรบ แก๊ซพิษ รถถัง เรือดำน้ำ และปืนกลทำลายล้างสูง

วิทยาศาสตร์มีบทบาทมากขึ้นไปอีกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี 1944 ฝ่ายอักษะอย่างอิตาลีนั้นได้ยอมแพ้ต่อกลุ่มสัมพันธมิตรแล้ว แต่เยอรมันนีก็ยังสู้ต่อเพราะเชื่อว่าขีปนาวุธตัวใหม่นาม V-2 ที่นาซีคิดค้นอยู่จะพลิกเกมได้

ในปี 1945 อเมริกาประดิษฐ์อาวุธนิวเคลียร์สำเร็จ แต่ถึงตอนนั้นเยอรมันนีได้ยอมแพ้สงครามไปแล้วว เหลือเพียงแต่ญี่ปุ่นที่ประกาศว่าจะสู้ยิบตา ในปี 1946 เมื่อรู้ว่าการส่งทหารอเมริกันขึ้นบกที่ญี่ปุ่นจะทำให้สูญเสียกำลังพลนับล้านคน ประธานาธิบดีทรูแมนจึงตัดสินใจใช้ระเบิดนิวเคลียร์ ภายในสองสัปดาห์ระเบิดนิวเคลียร์ถูกทิ้งลงที่เมืองฮิโรชิมาและเมืองนางาซากิ ทำให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามอย่างไม่มีเงื่อนไข

การนำเทคโนโลยีมาใช้ในสงครามนั้นถือเป็นเรื่องที่ใหม่มากๆ ก่อนศตวรรษที่ 19 สงครามส่วนใหญ่ตัดสินกันที่การวางแผนและจัดกำลังรบมากกว่าเรื่องความเหนือกว่าทางเทคโนโลยี กองทัพของโรมนั้นไม่ได้มีเครื่องมือที่ดีกว่าอาณาจักรอื่นเลย เพียงแต่มีกำลังพลมากกว่า มีวินัยกว่า และมียุทธศาตร์ที่ดีกว่าเท่านั้นเอง

แม้กระทั่งเมืองจีนก็ไม่ได้มีการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้ในสงคราม เทคโนโลยีทางอาวุธที่สำคัญสุดของจีนคือดินปืน แต่เท่าเรารู้ก็คือดินปืนไม่ได้ถูกคิดค้นโดยนักวิทยาศาสตร์ แต่ถูกค้นพบโดยนักเล่นแร่แปรธาตุที่กำลังหาสูตรยาอายุวัฒนะ และแม้ว่าจะพบแล้วว่าดินปืนทำอะไรได้ มันก็ถูกใช้สำหรับการทำดอกไม้ไฟเท่านั้น! ต้องใช้เวลาอีกราว 600 ปีกว่าชาวจีนจะเริ่มเอาดินปืนมาทำเป็นอาวุธปืนใหญ่ในการสงคราม

วิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม และเทคโนโลยีทางการทหารเพิ่งจะมาเกี่ยวพันกันในช่วงที่ระบบทุนนิยมเฟื่องฟูขึ้นมาพร้อมกับการปฏิวัติอุตสาหกรรม

และจากวันนั้นโลกก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ที่มาบทความ :

https://anontawong.com
Sapiens