ตอนที่ 1- กำเนิด Homo Sapiens
Last updated
Last updated
100,000 ปีที่แล้ว มีมนุษย์อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ถึง 6 เผ่าพันธุ์ ในวันนี้มีมนุษย์เพียงเผ่าพันธุ์เดียวที่หลงเหลืออยู่ นั่นคือพวกเราเหล่า Homo Sapiens (Homo = Man, Sapien = Wise, Homo Sapien = Wise Man = ผู้มีปัญญา) อะไรที่ทำให้เผ่าพันธุ์ที่เคยได้แต่เก็บผลหมากรากไม้และล่าสัตว์เพื่อยังชีพ กลายมาเป็นผู้ครองโลกทั้งใบได้?
Physics เกิดขึ้นเมื่อ 13,000 ล้านปีที่แล้ว ตอนที่บิ๊กแบงได้ให้กำเนิดจักรวาล Chemistry เกิดขึ้นหลังจากบิ๊กแบงประมาณสามแสนปี เมื่อสสารเริ่มจับตัวเป็นอะตอมและโมเลกุล Biology เกิดขึ้นเมื่อ 3,800 ล้านปีที่แล้ว เมื่อโลกเริ่มมีสิ่งมีชีวิต (organisms) History เกิดขึ้นเมื่อ 70,000 ปีที่แล้ว เมื่อ Homo Sapiens เริ่มออกเดินทางไปทั่วโลกและสร้างอารยธรรมต่างๆ ขึ้นมา
สิงโต เสือ เสือดาว และเสือจากัวร์ อยู่ในตระกูลเดียวกันคือ ตระกูล Panthera นักวิทยาศาสตร์จะตั้งชื่อสัตว์ต่างๆ เป็นภาษาละติน โดยขึ้นต้นด้วย Genus และลงท้ายด้วย Species เช่นสิงโต จะมีชื่อทางการว่า Panthera Leo ซึ่งหมายถึงสัตว์ตระกูล Panthera เผ่าพันธุ์ Leo ส่วนมนุษย์เรา ก็อยู่ในตระกูล Homo เผ่าพันธุ์ Sapiens
ต้นตระกูล Homo นั้นเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2.5 ล้านปีที่แล้วที่ แอฟริกาตะวันออก พวกเขาเหล่านั้นมีชื่อว่า Australopitecus ที่แปลว่า Southern Ape เมื่อประมาณ 2 ล้านปีที่แล้วเหล่า Southern Ape ได้ออกเดินทางจากชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก ไปยังแอฟริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียเนื่องจากภูมิประเทศและภูมิอากาศที่ต่างกัน วิวัฒนาการของเหล่า Southern Ape จึงแตกต่างกันไป Southern Ape ที่ไปอยู่ในยุโรปและเอเชียตะวันตกได้วิวัฒนาการมาเป็น Homo neanderthalensis (Man from the Neander Valley) หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า นีแอนเดอธาล (Neanderthals) Southern Ape ที่ไปอยู่เอเชียตะวันออก วิวัฒนาการมาเป็น Homo erectus (Upright Man) พวกที่ไปอยู่ในเกาะจาวาของอินโดนีเซียถูกเรียกว่า Homo soloensis (Man from the Solo Valley) ส่วนพวกที่ไปอยู่เกาะชื่อ Flores ถูกเรียกว่า Homo floresiensis และเนื่องจากเกาะนี้ขาดแคลนอาหาร พวกเขาจึงเป็นมนุษย์แคระสูงเพียง 1 เมตรและหนักเพียง 25 กิโลกรัม จึงมีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า “ฮอบบิท” ด้วย ที่แอฟริกาตะวันออกเองก็ยังผลิตมนุษย์พันธุ์ใหม่ออกมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Homo rudolfensis (Man from Lake Rudolf) Homo ergaster (Working Man) และสุดท้ายก็คือ Homo Sapiens ที่เราตั้งชื่อแบบไม่เกรงใจใครว่าเป็น Wise Man
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตระกูลอื่นๆ ที่มีน้ำหนัก 60 กิโลกรัมนั้น จะมีขนาดสมอง 200 cc ต้นตระกูล Homo จะมีสมองขนาด 600 cc ส่วนพวกเราชาว Homo Sapiens มีขนาดสมองถึง 1200-1400 cc (แถมสมองของ Neanderthals ยังใหญ่กว่าพวกเราซะอีก) สมองขนาดใหญ่นำพาข้อเสียมาหลายข้อ
ข้อแรก คือสมองเป็นอวัยวะที่ใช้พลังงานเยอะมาก แม้ว่ามันจะหนักเพียง 2% ของน้ำหนักร่างกาย แต่มันใช้พลังงานถึง 25% ของร่างกายเวลาที่เราอยู่เฉยๆ (ขณะที่สมองของลิงใช้พลังงานเพียง 8%) เมื่อต้องใช้พลังงานมาก ก็ต้องเสียเวลากับการหาอาหารมากกว่าเดิม และทำให้กล้ามเนื้อของเราอ่อนแอกว่าเดิม (เพราะพลังงานถูกส่งไปเลี้ยงสมองมากกว่ากล้ามเนื้อ)
เมื่อเราเริ่มต้นเดินสองขา (ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของตระกูล Homo) เราก็เริ่มใช้มือทำสิ่งที่สัตว์อื่นๆ ทำไม่ได้ เช่นส่งสัญญาณมือ เขวี้ยงก้อนหิน หรือสร้างอุปกรณ์ต่าง ๆ แต่การเดินสองขาก็มีข้อเสีย เพราะมันบังคับให้เอวและสะโพกต้องมีขนาดพอๆ กับลำตัว ซึ่งสำหรับผู้หญิงแล้วนั่นคือขีดจำกัดสำคัญของการให้กำเนิด เพราะเด็กทารกของ Homo Sapiens นั้นมีขนาดสมองและหัวใหญ่กว่าสัตว์อื่นๆ อยู่แล้ว การให้กำเนิดทารก Sapien จึงเป็นเรื่องเสี่ยงตายมากๆ ผู้หญิงที่ให้กำเนิดทารกที่ยังไม่โตเต็มวัยจึงมีโอกาสสูงกว่าที่จะรอดชีวิตและขยายเผ่าพันธุ์ต่อไป
พูดง่าย ๆ ก็คือขนาดสมองที่ใหญ่และพื้นที่เชิงกรานที่เล็กบังคับให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องวิวัฒนาการตัวเองให้ “คลอดก่อนกำหนด” ลูกม้าเกิดมาไม่กี่วันก็เริ่มวิ่งได้แล้ว ลูกแมวเกิดมาไม่กี่สัปดาห์ก็ออกไปหาอาหารเองได้แล้ว แต่ลูกมนุษย์นี่ต้องมีคนดูแลอยู่หลายปีกว่าจะเติบโตพอที่จะใช้ชีวิตได้เองโดยลำพัง การ “คลอดก่อนกำหนด” ของเผ่าพันธุ์ Homo มีนัยยะอย่างมหาศาลต่อประวัติศาสตร์มนุษยชาติ หนึ่งก็คือมันทำให้เรากลายเป็นสัตว์สังคม เพราะแม่เพียงคนเดียวไม่สามารถที่จะเลี้ยงลูกไปและออกหาอาหารพร้อมกันได้ ต้องพึ่งพาคนอื่นๆ ในเผ่าที่จะช่วยดูแลลูกหรือช่วยหาอาหาร (It takes a village to raise a child)
อีกข้อดีอย่างหนึ่งก็คือ ทารกที่คลอดออกมายังเป็น “ผ้าขาว” อยู่มากเมื่อเทียบกับทารกของสัตว์อื่นๆ เราจึงสามารถสอนเขาให้เติบโตมาเป็นคนแบบไหนก็ได้ จะเป็นพุทธหรือคริสต์ก็ได้ จะรักสันติหรือรักสงครามก็ได้ จะทำเพื่อเงินหรือทำเพื่อสังคมก็ได้ แม้ว่าตระกูล Homo จะมีสมองใหญ่กว่าสัตว์อื่น แต่จริงๆ แล้วช่วงแรกๆ มันก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นเท่าไหร่ ตระกูล Homo ถือกำเนิดเมื่อ 2.5 ล้านปีที่แล้ว แต่เป็นเวลากว่า 2 ล้านปีที่สัตว์ตระกูล Homo อยู่ตรงกลางของห่วงโซ่อาหาร คือแค่ล่าสัตว์เล็กๆ และถูกสัตว์ใหญ่ล่า เพิ่งจะเมื่อ 400,000 ปีที่แล้วนี่เองที่ Homo เริ่มใช้เครื่องมือเพื่อร่วมกันออกล่าสัตว์ใหญ่ และ 100,000 ปีที่แล้ว ที่มนุษย์ “กระโดด” มาอยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ Homo ได้ไต่เต้าขึ้นมาในห่วงโซ่อาหาร ก็คือทักษะในการจุดไฟได้เอง เมื่อสามแสนปีที่แล้ว Homo erectus หรือ Neanderthals ก็ใช้ไฟเป็นประจำเพื่อให้ความอุ่น ให้แสงสว่าง และเอาไว้ขู่สัตว์ที่จะมาทำร้าย แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ไฟมอบให้มนุษย์ก็คือการทำอาหารครับ
ไฟทำให้มนุษย์สามารถกินพืชที่กินดิบๆ ไม่ได้เช่นข้าวหรือมันฝรั่ง รวมถึงทำให้เรากินอาหารต่างๆ ได้เร็วขึ้นด้วย (ลิงชิมแปนซีใช้เวลาถึงวันละ 5 ชั่วโมงในการเคี้ยวอาหารดิบ) การที่เรากินอาหารที่สุกแล้ว ทำให้เรามีฟันที่เล็กลง และลำไส้ที่สั้นลง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เมื่อลำไส้สั้นลง จึงมีพลังงานไปเลี้ยงสมองมากขึ้นและเป็นเหตุผลที่ทำให้สมองของ Sapiens และ Neanderthals ใหญ่กว่าสัตว์อื่น ๆ ความสามารถในการควบคุมไฟทำให้มนุษย์มีพลังมากขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ผู้หญิงตัวเล็กๆ หนึ่งคนที่ถือคบเพลิงสามารถจุดไฟเผาป่าทั้งป่าได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
แม้ว่าจะมีสมองขนาดใหญ่และใช้ไฟเป็น แต่เมื่อ 150,000 ปีที่แล้ว ตระกูล Homo ก็ยังเป็นเพียงสัตว์ชนิดหนึ่งบนปฐพีอันกว้างใหญ่ ไม่ได้มีบทบาทสำคัญใดๆ โดยทั่วทั้งโลกน่าจะมีสิ่งมีชีวิตตระกูล Homo ไม่เกิน 1 ล้านคน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เมื่อ 150,000 ปีที่แล้วคือช่วงเวลาที่ Homo Sapiens ในแอฟริกาตะวันออกได้วิวัฒนาการมาจนถึงจุดที่เขามีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับเราในปัจจุบัน ถ้าเราจับ Sapien หนึ่งคนในตอนนั้นนั่งไทม์แมชชีนมาสมัยนี้ แล้วให้เขาใส่เสื้อผ้าเหมือนที่เราใส่ ก็จะไม่มีใครระแคะระคายว่าคนๆ นี้มาจากอดีตอันไกลโพ้น และนักวิทยาศาสตร์ก็เชื่ออีกว่า เมื่อ 70,000 ปีที่แล้ว Homo Sapiens ได้เริ่มล่องเรือออกจากชายฝั่งแอฟริกาตะวันออกไปยังคาบสมุทรอาหรับ และจากตรงนั้นก็ออกเดินทางด้วยเท้าไปทั่วทั้งทวีปยุโรปและเอเชียซึ่งมี Neanderthals และ Homo erectus อาศัยอยู่แล้ว (ถ้าเปิดดูแผนที่โลกจะเห็นภาพชัดขึ้น)
คำถามก็คือ เกิดอะไรขึ้นเมื่อ Sapiens ไปเจอ Neanderthals ในยุโรป และ Homo erectus ในเอเชีย นักวิทยาศาสตร์มีสองทฤษฎี คือ Interbreeding Theory กับ Replacement Theory
ทฤษฎีแรกก็คือมีการจู๋จี๋ข้ามเผ่าพันธุ์ ซึ่งนั่นหมายความว่าชาวยุโรปในสมัยนี้ไม่มีใครเป็น Pure Homo Sapiens แต่เป็น Homo Sapien+Neanderthal ซึ่งผลการตรวจ DNA ก็แสดงให้เห็นว่าคนยุโรปมี DNA ของ Neanderthal อยู่ประมาณ 1%-2%
ทฤษฎีที่สองหรือ Replacement Theory ก็คือ Sapiens ไม่สนใจที่จะจู๋จี๋กับ Homo สายพันธุ์อื่น แต่ความสามารถที่เหนือกว่าของ Sapiens ทำให้เผ่าพันธุ์ที่มีอยู่ก่อนเก่าค่อยๆ ล้มหายตายจากไป เช่น Sapiens อาจจะทำเครื่องมือได้ดีกว่า ทำให้ชิงหาอาหารได้เร็วกว่า หรือเวลาต้องปะทะกันก็มีพละกำลังมากกว่า ฝ่ายที่ช้าหรืออ่อนแอกว่าก็เลยอดตายหรือแพ้ในการรบ – เป็น survival of the fittest อย่างแท้จริง
จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม การไปถึงของ Sapiens ในพื้นที่ต่างๆ ทำให้เผ่าพันธุ์ Homo ที่มีอยู่ก่อนเก่าล่มสลาย Homo Soloensis สูญพันธุ์ไปเมื่อ 50,000 ปีที่แล้ว Neanderthals & Homo erectus สูญพันธุ์ไปเมื่อประมาณ 30,000 ปีที่แล้ว หรือเผ่าพันธุ์มนุษย์ฮอบบิทในเกาะ Flores ก็สูญพันธุ์ไปเมื่อ 12,000 ปีที่แล้ว เหลือไว้เพียงแต่พวกเราเผ่าพันธุ์ Homo Sapiens
ลองคิดภาพเล่นๆ ว่าถ้า Neanderthals หรือ Homo erectus ไม่ได้สูญพันธ์ เหล่า Homo Sapiens อย่างเราจะยังกล้าคิดว่าตัวเองเป็นเผ่าพันธุ์สุดพิเศษกว่าเผ่าพันธ์ุไหนๆ อยู่รึเปล่าเรื่องราวในไบเบิลหรือในคัมภีร์ศาสนาอื่นๆ จะมีพื้นที่ในสวรรค์ให้แก่ Homo พันธุ์อื่นหรือไม่?
เหล่า Neanderthal จะได้เข้าเป็นทหารให้จักรวรรดิโรมัน และ Homo erectus จะได้ร่วมสู้รบกับแคว้นต่างๆ ในประเทศจีนรึเปล่า?
คำประกาศอิสรภาพของอเมริกาจะเปลี่ยนจาก We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal เป็น that all members of the genus Homo are created equal รึเปล่า?
อะไรคือ “เคล็ดลับ” ที่ทำให้ Sapiens สามารถเข้าครอบครองพื้นที่ทั่วโลก ทั้งๆ ที่สภาวะอากาศและภูมิประเทศในทวีปต่างๆ ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อะไรที่ทำให้ Neanderthal ซึ่งแข็งแรงกว่า มีสมองใหญ่กว่า และคุ้นเคยกับภูมิอากาศที่หนาวกว่าไม่สามารถต้านทาน Sapiens ได้?
ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้บอกว่า สิ่งที่ทำให้เผ่าพันธุ์ Homo Sapiens ครองโลก เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราจนเราอาจนึกไม่ถึง
สิ่งนั้นคือ “ภาษา” นั่นเอง
ที่มา: https://anontawong.com.